Skip to content
Home » News » การข่มขืนครั้งใหญ่ที่นานกิง

การข่มขืนครั้งใหญ่ที่นานกิง

การข่มขืนครั้งใหญ่ที่นานกิง การข่มขืนคือผลงานวีรเวรอันสุดยอดของทหารญี่ปุ่นที่นานาชาติโจมตีญี่ปุ่นมากที่สุด สตรีชาวนานกิงได้ชื่อว่าเป็นผู้รับเคราะห์มากกว่าใครๆ แทบทั้งหมดต่างถูกข่มขืนอย่างสุดแสนทารุณก่อนที่จะสังหารอย่างเลือดเย็น หรือบางรายขอความเมตตาบ้าง หรืออาจมีการพิจารณาขอไว้ชีวิต แต่สิ่งที่ที่ตามมาของผู้รอดชีวิตคือ ประสบการณ์วิปลาสที่ยังหลอกหลอนจนถึงปัจจุบัน

การข่มขืนครั้งใหญ่ที่นานกิง พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ได้กระทำกันเฉพาะในหมู่พลทหาร แม้ระดับนายทหารก็ไม่เว้น บางคนไม่เพียงสนับสนุนการข่มเหง แต่ยังเตือนให้พลทหารจัดการเหยื่อเมื่อเสร็จธุระเพื่อกำจัดหลักฐาน หญิงในนานกิงถูกข่มขืนชนิดไม่เลือกที่และไม่เลือกเวลา ประมาณว่าหนึ่งในสามของการข่มขืนทั้งหมดเกิดขึ้นตอนกลางวันแสกๆ และไม่มีสถานที่แห่งใดปลอดจากการข่มขืน เช่น ในเรือนแม่ชี ในโบสถ์ แม้แต่ในโรงเรียน นอกจากนี้ คนเฒ่า-คนแก่ยังไม่สามารถใช้ความชราเป็นเกราะคุ้มกันการข่มขืนได้ ผู้เฒ่าต่างต้องเผชิญทารุณกรรมทางเพศอย่างถ้วนหน้าและซ้ำซาก

การข่มขืนครั้งใหญ่ที่นานกิง
https://board.postjung.com/858568

แม้ผู้หญิงที่ท้องได้หลายเดือนก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้น ทหารญี่ปุ่นหลายรายข่มขืนผู้หญิงหลายรายทั้งที่เห็นชัดว่าใกล้คลอดหรือเพิ่งคลอดได้หมาดๆ ซ้ำร้ายกว่านั้นหลังจากข่มขืนเสร็จแล้ว ก็คว้านท้องของผู้หญิงท้องที่ถูกข่มขืน แล้วเขี่ยลูกอ่อนออกมาดูเล่นหรือไม่แล้ว ต่างก็ถูกทรมานโดยใช้ดาบปลายปืนตัดเฉือนเต้านมทั้งสองข้างทิ้งไปพร้อมๆ กัน บาดแผลนั้นเห็นซี่โครงอบ่างน่าสยดสยอง บ่อยครั้งที่ทหารญี่ปุ่นจะทิ่มแทงหรือเสียบดาบปลายปืนพรวดเข้าไปหว่างขา (อวัยวะเพศ) หรือถูกคว้านอวัยวะขณะที่มีชีวิตอยู่ก็มี บางรายเมื่อตายแล้ว พวกมันก็ย่ำยีศพอีกด้วยการทิ่มแท่งไม้ ท่อนเหล็ก กระทั่งหัวแครอทคาไว้ที่อวัยวะเพศของเหยื่อ

ชาวนานกิงผู้หนึ่งได้คร่ำครวญถึงเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอว่า “วันที่ 16 ธันวาคมนั้น ผมถูกกองทหารญี่ปุ่นคุมตัวไป มันไม่ได้สังหารผม แต่บังคับให้ผมทำหน้าที่เป็นพ่อครัวให้พวกมัน ขณะที่ผมเดินตามพวกมันไปตามถนน ผมเห็นชาวนานกิงที่เป็นชายเช่นเดียวกับผมนอนตายอย่างน่าเวทนานับเป็นร้อยๆ ศพ … แต่สิ่งที่น่าหดหู่ยิ่งกว่านั้นก็คือ บรรดาศพสตรีทั้งหลายที่พอประเมินได้ จากจำนวน 8 ใน 10 คนนั้นล้วนแต่ถูกของมีคมตัดขาดกระจุย เห็นไส้และอวัยวะภายในพุ่งทะลักออกมาแทบทั้งสิ้น พวกเธอเหล่านั้นล้วนแต่เป็นหญิงท้องแก่ที่ถูกผ่าเอาทารกอ่อนภายในออกไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งหย่อมเลือดและเต้านมของพวกเธอเหล่านั้นถูกตัดหายไปหมด…”

ชายจีนอีกคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ฝังศพชาวเมืองนานกิงให้สัมภาษณ์ว่า “ผมเห็นศพมากมายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จำนวนศพมีมหาศาลนับหมื่นๆ ศพ กระจัดกระจายไปตามบึงน้ำหรือบ่อน้อยบ่อใหญ่ กระทั่งบนกองฟางก็มีมากมาย ยอมรับว่าภาพที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ผมตะลึกจนเกือบซ็อก มันเป็นเรื่องยากที่จะบรรยายออกเป็นคำพูดได้ แต่ภาพผู้หญิงที่เห็นแต่ละคนนั้นทำให้ผมเห็นความโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่นก่อนที่จะสังหารเธอ ใบหน้าของพวกเธอหมองหม่น ฟันร่วงหลุดจากปาก ช่วงแก้มก็บ่งบอกถึงรอยซ้ำจากการถูกของแข็งกระแทกจนกะโหลกแก้มหักร้าว เลือดที่แห้งคาปากชวนให้คิดว่าพวกเธอคงสำลักเลือดหรือไม่ก็ความเจ็บปวดสุดทรมาน … ผมเห็นทรวงอกเธอมีร่องรอยบาดแผลถูกของมีคมบาดจนเต้านมขาดกระจุยและมีแผลตัดลึกถึงซี่โครง ต่ำลงไปที่ช่องท้องของพวกเธอนั้นแทบทุกคนต่างก็ถูกของมีคมแทงทะลุแล้วคว้านไปมาทำให้ ตับ ไส้ พุงและไส้ของพวกเธอ หลุดจากร่างอย่างน่าสยดสยอง ส่วนที่ท้องน้อยนั้นมีรอยแผลจากดาบปลายปืนกระหน่ำแทงไปทั่ว”

นี่ก็อีกรายโหดไม่แพ้กัน “ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 ครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกจำนวน 14 คนถูกสังหารโหดด้วยน้ำมือทหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะบุตรสาวคนเล็กวัย 14 ปี ถูกลบหลู่และสังหารอย่างทารุณมากที่สุด … เด็กคนนั้นถูกทิ้งบนโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่นำมาต่อกัน สภาพร่างกายท่อนนั้นมีเสื้อสวมติดอยู่ แต่ท่อนล่างเปลือยเปล่า โดยที่เลือดเธอยังไหลนองท่วมโต๊ะและปริมาณเลือดมากมายนั้นหลั่งไหลออกมาจากช่องท้องและอวัยวะเพศที่ถูกดาบปลายปืนแทง … ส่วนพี่สาวของเธอถูกสังหารตายคาเตียงโดยมีสภาพไม่ต่างกับน้องสาวเท่าใดนัก ส่วนมารดาเธอหรือ? เธอถูกสังหารตายคาโต๊ะขนาดใหญ่ตัวหนึ่งโดยกอดทารกวัยขวบเศษในอ้อมอกของเธอ ทารกน้อยนั้นถูกฟันคอขาดกระจุยด้วยใบมีดคมกริบและช่องท้องของเด็กน้อยนั้นมีบรรดาพวกไส้และอวัยวะภายในทะลักออกมานอกช่องท้องอย่างน่าเวทนา”

หนึ่งผู้เห็นเหตุการณ์เหล่านั้น เขาได้บันทึกเหตุการณ์โหดเป็นฉากๆ เอาไว้เลยว่า

  • 14 ธันวาคม ค.ศ. 1937 ตอนเที่ยงเห็นทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่ถนนเจียนยิน พวกนั้นลักพาตัวสาวๆ ในบ้านออกมา 4 คน จากนั้นมันก็ลงมือข่มขืนมาราธอน 2 ชั่วโมงเต็มๆ
  • 15 ธันวาคม ค.ศ. 1937 ตอนกลางคืน ทหารญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่พากันกรูไปในหอพักหญิงของมหาวิทยาลัย จากนั้นก็ข่มขืนสาวๆ ราว 30 คนด้วยกัน โดยเด็กสาวที่หน้าตาดีบางคนถูกรุมข่มขืนโดยทหารญี่ปุ่น 6 คนรวด
  • 16 ธันวาคม ค.ศ. 1937 กลุ่มทหารญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งบุกฉุดสาวๆ อายุตั้งแต่ 16-21 ปี ไปจากมหาวิทยาลัยและย่ำยีทางเพศ ภายหลังมีสาวๆ 5 คนในกลุ่มถูกปล่อยออกมา พวกเธอบอกว่าถูกพวกมันข่มขืนต่อเนื่องวันละ 6 ครั้ง ส่วน 2 คนที่เหลือไม่รู้ซะตากรรม

ในบ้านหลังหนึ่งซึ่งติดกับกำแพงเมืองที่ด่านซินหยาง ปรากฏว่ามีหญิงชราในวัย 60 ปี มีสภาพศพขึ้นอืดและมีร่องรอยการข่มขืนอย่างทารุณ … อีกจุดหนึ่งของถนนยางพีนั้นก็มีศพเด็กผู้หญิงอายุ 12 ขวบ นอนตาย กางเกงในของเธอถูกดึงฉีกขาด ลูกตาทั้งสองข้างเธอปิดสนิทใน ขณะที่ปากอ้ากว้างคล้ายกับร้องขอเมตตา

ทำไมข่มขืนแล้วต้องฆ่าด้วย นั่นก็เพราะเขาถือคติว่า “สังหารหลังข่มขืนเพื่อปิดปากมัน” นี่คือข้ออ้างของบรรดาทหารญี่ปุ่นที่ถือปฏิบัติกันทั่วหน้า สตรีนานกิงจึงต้องรับเคราะห์ไปอย่างช่วยไม่ได้

เรื่องราวนี้เป็นเรื่องจริงในช่วงญี่ปุ่นบุกขยี้นานกิงในปี ค.ศ. 1937 ก่อนที่กองทัพญี่ปุ่นจะโดนขับไล่ออกจากนานกิง … แต่สิ่งหลงเหลือเอาไว้คือผลงานที่โหดร้ายที่ทหารญี่ปุ่นทำไว้กับชาวนานกิง มันเป็นรอยด่างที่ทำให้โลกเห็นญี่ปุ่นเป็นชาติที่โหดร้ายของโลก ญี่ปุ่นเองก็รับรู้ความเกลียดชังของชาวโลกนี้เป็นอย่างดี แต่ไม่เต็มใจนักที่จะรับผิดชอบหรือออกมายอมรับเต็มตัว ส่วนทางการจีนก็อยากปิดเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะมันอาจเกิดความวุ่นวายในประเทศที่ปกครองโดยคอมมิวนิสต์ แต่พวกประชาชนยังไม่ลืมความ โกรธแค้นที่มีเหตุการณ์ในครั้งนั้น ต่างรอเวลาที่จะล้างแค้นในสิ่งที่พวกมันทำกับพวกเขา

หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ “อาซูมะ ชิโร” ทหารญี่ปุ่นที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่เมืองนานกิงได้ออกมาเล่าสิ่งที่ตนเองได้พบเห็นและลงมือกระทำลงไป เขาเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง “เราจับพวกคนชราหญิงชายและเด็กๆ ประมาณ 37 คนมารวมกันในลานกว้าง ผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กไว้ด้วยแขนซ้าย อุ้มเด็กอีกคนไว้ ด้วยแขนขวา พวกเราแทงตายทั้งสามคน ผมมานั่งนึกว่าแค่จากบ้านมาเดือนเดียว ผมได้ฆ่าคนโดยไม่เสียใจเลย”

เมื่อออกมาสารภาพบาปเช่นนี้ เขาก็ถูกกดดัน “เมื่อมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับสงครามที่เกียวโต ผมได้ไปให้การคนแรกที่ตำหนิผมเป็นสุภาพ สตรีคนหนึ่งจากโตเกียว เธอบอกว่าผมกำลังย่ำยีทหารญี่ปุ่นที่ตายในสงคราม เธอโทรหาผมไม่หยุดตลอด 3-4 วัน มีจดหมายเขียนมาด่าว่าผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีการคุกคามหนักขึ้นทุกที จนตำรวจต้องมาคุ้มกันผม”

ขณะเดียวกันบรรดานักวิชาการทั้งหลายก็พยายามระดมสรรพกำลัง-ความรู้ในการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีก แต่มีคำถามที่ว่า การสังหารโหดที่นานกิงนั้นจะใช้เวลานานเท่าใดที่จะลบเลือนจากใจมนุษย์ได้ เพราะล่าสุดญี่ปุ่นประกาศว่าจะล้มเลิกกำลังป้องกันประเทศหันมาใช้ระบบกองทัพ หลังจากอเมริกาออกกฎไม่ให้ญี่ปุ่นมีกองทัพเป็นของตัวเอง

คงต้องติดตามดูกันอีกนาน

https://lonesomebabe.wordpress.com/2009/09/13/the-rape-of-nanjing-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD/