Skip to content
Home » News » จอร์จ วอชิงตัน ในสงคราม

จอร์จ วอชิงตัน ในสงคราม

จอร์จ วอชิงตัน ในสงคราม
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%88_%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99

จอร์จ วอชิงตัน ในสงคราม อาชีพ วอชิงตันเริ่มทำอาชีพเจ้าหน้าที่สำรวจที่ดิน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชี้ว่าเขามีทาสในครอบครอง 20 คนหรืออาจจะมากกว่านั้น ค.ศ. 1748 เขาถูกเชิญให้ไปช่วยรังวัดที่ดินของลอ์ด แฟร์แฟ็กซ์ อยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาบลูริดจ์ ค.ศ. 1749 เขาถูกแต่งตั้งให้อยู่ในสำนักงานของเขาเองแห่งแรก สำรวจ คัลเปเปอร์ เคาท์ตี้ (รัฐเวอร์จิเนียร์)

ซึ่งเป็นที่ดินแดนแห่งใหม่ และด้วยการสนับสนุนของพี่ชายต่างมารดาชื่อ ลอว์เรนซ์ วอชิงตัน เขามีความสนใจในสมาคม (Ohio Company) ซึ่งสำรวจแผ่นดินทางตะวันตก ค.ศ. 1751 จอร์จและพี่ชายของเขาเดินทางไปประเทศบาร์เบโดส และได้พักอยู่ที่บ้านบุชฮิลล์ (Bush Hill House) โดยหวังเพื่อรักษาอาการวัณโรคของพี่ชาย และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เดินทางไปนอกเขตที่เป็นประเทศสหรัฐในปัจจุบัน หลังจากที่ลอว์เรนซ์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1752 จอร์จได้รับมรดกบางส่วน และได้รับงานสืบต่อจากพี่ชายในอาณานิคมนั้น

ปี ค.ศ. 1752 วอชิงตันได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาธิการฝ่ายธุรการ (adjutant general) ให้กับทหารกองหนุนแห่งเวอร์จิเนีย (Virginia militia) ทำให้เขาได้ติดยศพันตรีเมื่ออายุได้เพียง 20 ปี เขามีหน้าที่ฝึกทหารกองหนุนตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย เมื่ออายุได้ 21 ปี ที่เฟดเดอร์ริกส์เบิร์ก วอชิงตันได้เป็นนายช่าง (Master Mason) ขององค์กรฟรีเมสัน ซึ่งเป็นองค์การที่ทำงานกันอย่างใกล้ชิดฉันท์พี่น้องที่มีผลต่อเขาตลอดชีวิต

เดือนธันวาคม ค.ศ. 1753 วอชิงตันได้รับการร้องขอจากผู้ว่าการอาณานิคมแห่งเวอร์จิเนีย ชื่อ โรเบิร์ต ดินวิดดี้ ให้นำทหารอังกฤษไปยื่นคำขาดแก่ฝรั่งเศสในบริเวณดินแดน โอไฮโอ วอชิงตันประเมินถึงความแข็งแกร่งและความมุ่งหมายของกองทัพฝรั่งเศสแล้ว จึงได้ยื่นคำขาดแก่กองทัพฝรั่งเศสที่ป้อม Fort Le Boeuf

ซึ่งในปัจจุบันคือ วอเตอร์ฟอร์ด, รัฐเพนซิลเวเนีย ข้อความที่ถูกมองข้ามไป ต้องการให้ชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศสละทิ้งถิ่นฐานและชุมชนพัฒนานั้นไปจากบริเวณโอไฮโอ เหตุการณ์นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชาวอาณานิคมทั้งสองกลุ่มซึ่งมีอานาจเกิดความขัดแย้งแพร่หลายไปทั่วโลก รายงานของวอชิงตันนี้ได้ถูกเผยแพร่ไปในวงกว้างทั้งสองฟากของมหาสมุทรแอตแลนติก

สงครามอินเดียนและฝรั่งเศส (สงครามเจ็ดปี)

จอร์จ วอชิงตัน ในสงคราม ในปี ค.ศ. 1754 ดินวิดดี้แต่งตั้งยศพันโทให้วอชิงตัน และสั่งให้นำคณะเดินทางไปยังป้อม Fort Duquesne เพื่อไปขับไล่ชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกา นำโดย ทานาชาริสัน วอชิงตันได้ทำลายทหารสอดแนมของฝรั่งเศสจำนวน 30 นาย

ที่นำโดย โจเซฟ โคโลน เดอ จูมอนวิลล์ ที่ฟอร์ต เนเซสซิตี้ วอชิงตันและกองกำลังของเขาต้องพ่ายแพ้ต่อทัพผสมระหว่างแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศสกับอินเดียน ที่มีกำลังเหนือกว่าและอยู่ในชัยภูมิที่ดีกว่า ในแถลงการยอมจำนนครั้งนี้ได้รวมเอาเนื้อหาว่า วอชิงตันลอบสังหารจูมอนวิลล์หลังจากการซุ่มโจมตี วอชิงตันอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก จึงไม่ทราบว่าเนื้อหาเขียนว่าอะไรและยอมลงนามไป วอชิงตันได้รับการปล่อยตัวจากพวกแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส และได้กลับสู่เวอร์จิเนีย โดยยอมลาออกมากกว่าที่จะถูกลดขั้น

ในปี ค.ศ. 1755 วอชิงตันเป็นนายทหารผู้ช่วยของนายพลเอ็ดวาร์ด แบร็ดด็อกแห่งอังกฤษ มีลางไม่ดีในคณะเดินทางของแบร็ดด็อก นี่เป็นความพยายามอันยิ่งใหญ่ที่จะยึดโอไฮโอ เคาท์ตี้กลับคืนมา ต่อมาแบร็ดด็อกถูกลอบสังหารทำให้คณะเดินทางของเขาต้องยุติลง ขณะที่บทบาทของวอชิงตันในระหว่างสงครามมีข้อถกเถียงขึ้นมา โดยนักชีวประวัติ โจเซฟ เอลลิส ยืนยันว่า วอชิงตันได้ขี่ม้าตะลุยไปมาตลอดทั่วสมรภูมิ

รวบรวมกำลังพลที่เหลือของอังกฤษและเวอร์จิเนียเพื่อถอยทัพ หลังจากเหตุการณ์นี้ วอชิงตันได้รับมอบหมายให้ควบคุมชายแดนอันวุ่นวายแถบเทือกเขาเวอร์จิเนีย และได้รับรางวัลโดยเลื่อนขั้นให้เป็นพันเอกผู้บัญชาการแห่งกองกำลังเวอร์จิเนียทั้งหมด

ในปี ค.ศ. 1758 วอชิงตันติดยศนายพลจัตวาในคณะเดินทางของ Forbes ที่บังคับให้ฝรั่งเศสอพยพถอนทัพออกจาก Fort Duquesne และการสร้างระบบกองทัพของอังกฤษที่พิตต์สเบิร์ก หลังจากปีนั้น วอชิงตันลาออกจากทหารและใช้เวลาพัฒนาไร่ของเขาเป็นเวลาถึง 16 ปี และเป็นนักการเมืองท้องถิ่นของเวอร์จิเนีย

เปรียบเทียบระหว่างทหารกองหนุนกับทหารกองประจำการ

จอร์จ วอชิงตัน ในสงคราม ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารกองหนุนอาณานิคม แม้ว่าจะจัดให้วอชิงตันอยู่ในตำแหน่งอาวุโส วอชิงตันรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างดีระหว่างสถาบันทหารกองหนุนและทหารกองประจำการของอังกฤษ โชคดีที่พี่ชายของเขา ลอว์เลนซ์ ได้รับการปูนบำเหน็จจากนายทหารสัญญาบัตรของกองทัพอังกฤษให้เป็น “ร้อยเอกในกองพันทหารราบ” ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1740 กองทัพอังกฤษเพิ่มจำนวนกองพันทหารราบในดินแดนอาณานิคม (กองพันทหารราบที่ 61)

เพื่อใช้ปฏิบัติหน้าที่ในเวสต์อินดี้ระหว่างสงครามหูของเจงกินส์ แต่ละรัฐได้รับอนุมัติให้จัดตั้งนายทหารกองร้อยเป็นของตัวเอง ทั้งผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการ และพันเอก William Blakeney ได้แจกเอกสารการมอบอำนาจไปยังผู้ว่าการรัฐอาณานิคมต่างๆ 15 ปีต่อมา นายพล แบร็ดด็อก มาถึงเวอร์จิเนียเมื่อปี 1755 พร้อมกับกองพันทหารราบที่ 44 และ 48 วอชิงตันมองหาค่าคอมมิชชันแต่ไม่สามารถหามาจัดซื้อได้

เขาอยากมียศที่สูงกว่าพันโท โดยที่เขาอยากเป็นนายทหารอาวุโสในกองทัพประจำการ วอชิงตันเลือกที่จะไปเป็นนายทหารคนสนิทของนายพล ในขณะนั้น เขาสามารถบัญชาการกองทัพอังกฤษได้ หลังจากความพ่ายแพ้ของแบล็ดด็อก รัฐสภาอังกฤษตัดสินใจสร้าง Royal American Regiment of Foot เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1755 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น King’s Royal Rifle Corps ซึ่งแตกต่างจาก “American Regiment” ที่ใช้ในปี 1740-42 ทหารทั้งหมดถูกเกณฑ์ในอังกฤษและยุโรปเมื่อต้นปี 1756

จอร์จ วอชิงตัน ในสงคราม ระหว่างสงคราม:เมานต์เวอร์นอน

จอร์จอ วอชิงตันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ มาร์ธา แดนดริดจ์ คัสทิส ซึ่งเป็นแม่หม้ายที่อาศัยอยู่ในไร่ชื่อ White House Plantation บนฝั่งแม่น้ำ Pamunkey ในเขต นิว เคนต์ เคาท์ตี้, รัฐเวอร์จิเนีย ทั้งนี้โดยการแนะนำจากเพื่อนของมาร์ธา ในขณะที่จอร์จได้พักรบจากสงครามเจ็ดปี เขาได้ไปเยี่ยมบ้านของมาร์ธาเพียงสองครั้ง ก่อนที่จะขอแต่งงานหลังจากเพิ่งพบกันเพียงแค่ 2 สัปดาห์ จอร์จและมาร์ธาอายุได้ 27 ปี

ในวันที่เขาแต่งงาน คือวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1759 ที่บ้านของเธอที่เรียกว่าไวท์เฮาส์ (White House) ซึ่งชื่อบ้านนี้ได้กลายเป็นชื่อทำเนียบขาวต่อมาในปัจจุบัน คู่บ่าวสาวได้ย้ายไปยังบ้านที่ เมานต์เวอร์นอน ที่ซึ่งเขาได้ใช้ชีวิตต่อมาอย่างเป็นเจ้าของไร่และนักการเมือง

ทั้งสองมีชีวิตการแต่งงานที่ดี มีบุตรสองคนจากการแต่งงานครั้งก่อนของมาร์ธา ชื่อ Daniel Parke Custis, John Parke Custis และ มาร์ธาได้เรียกบุตรทั้งสองว่า “Jackie” และ “Patsy” จอร์จและมาร์ธาไม่ได้มีบุตรด้วยกันเลย เขาเคยป่วยด้วยโรคฝีดาษ (smallpox) และได้รับเชื้อวัณโรค (tuberculosis) ที่ทำให้เขาเป็นหมัน ต่อมาจอร์จได้รับเลี้ยงหลานยายของมาร์ธา ชื่อ Eleanor Parke Custis (“Nelly”) และ George Washington Parke Custis (“Washy”) หลังจากที่พ่อของทั้งสองคนได้เสียชีวิตลง

การที่วอชิงตันได้แต่งงานกับแม่หม้ายที่มีฐานะ ทำให้เขามีสมบัติและสถานะทางสังคมที่สูงยิ่งขึ้น เขาได้ที่ดินหนึ่งในสามของ 18,000 เอเคอร์ (73 ตารางกิโลเมตร) จากที่ดินตระกูลคัสทิส จากการแต่งงาน และได้รับส่วนที่เหลือในนามของลูกๆของมาร์ธา

เขาได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมโดยส่วนตัวในที่ซึ่งปัจจุบันคือ รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย อันเป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ในการรบในสงครามกับฝรั่งเศสและอินเดียน ในปี ค.ศ. 1775 เขาได้มีที่ดินรวม 6,500 เอเคอร์ (26 ตารางกิโลเมตร) และมีทาสกว่า 100 คน ทำให้เขาเป็นวีรบุรุษจากสมรภูมิและเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ วอชิงตันได้รับเลือกให้เป็นฝ่ายนิติบัญญัติของสภาในขณะนั้นที่เรียกว่า Virginia provincial legislature ชื่อ the House of Burgesses ในปี ค.ศ. 1758 เขาดำรงตำแหน่งในฐานะผู้พิพากษาแห่ง แฟร์แฟ็กซ์, และทำงานศาลที่ อเล็กซานเดรีย, เวอร์จิเนีย ระหว่างปี ค.ศ. 1760 และ 1764

จอร์จ วอชิงตัน ในสงคราม
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%88_%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99

วอชิงตันมีบทบาทการเป็นผู้นำให้แก่ชาวอาณานิคมในการต่อต้านอังกฤษ เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1769 เขายื่นข้อเสนอที่ร่างโดยเพื่อนของเขาชื่อ จอร์จ เมสัน ซึ่งเรียกร้องให้คว่ำบาตรสินค้าจากอังกฤษ จนกว่าจะมีการยกเลิกพระราชบัญญัติทาวน์เชนด์ ค.ศ. 1767 (Townshend Acts ) ต่อมารัฐสภาของอังกฤษได้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าวในปี ค.ศ. 1770 สำหรับวอชิงตันแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้

อย่างไรก็ตาม วอชิงตันเห็นว่าข้อความในพระราชบัญญัติการทูตแบบบีบบังคับ ค.ศ. 1774 (Intolerable Acts) เป็นการรุกล้ำสิทธิและประโยชน์ของชาวอาณานิคม ในเดือนกรกฎาคม เขานั่งเป็นประธานในการประชุมซึ่งมีการแก้ปัญหาใน แฟร์แฟ็กซ์ จนเกิดข้อตกลงแฟร์แฟ็กซ์ (Fairfax Resolves) ซึ่งเรียกร้องท่ามกลางสิ่งต่างๆ รวมถึงการเรียกประชุมสภาอาณานิคม ในเดือนสิงหาคม วอชิงตันเข้าร่วมการประชุมเวอร์จิเนียครั้งที่ 1 (First Virginia Convention) และได้รับเลือกจากที่ประชุมให้เป็นตัวแทนไปประชุมสภาอาณานิคมที่ 1 (First Continental Congress) อันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในเวลาต่อมา

วันที่ในข่าวนี้ 1 มกราคม 1754 วันที่ประมาณการ