
จับกุม นพ.บัณฑิต คืนวันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2536 หมอบัณฑิตได้โทรมาหาศยามลและบอกเธอว่า ขอให้เธอมาหาเขา หมอจะพาไปดูบ้านใหม่ที่เขาซื้อให้เป็นของขวัญกับเธอและลูก แต่ห้ามไม่ให้ศยามลบอกใครว่าเธอไปไหน
จริงๆ แล้วศยามลน่าจะเอะใจว่าเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากล เพราะว่าเขากับเธอมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีมาหมาดๆ จู่ๆ จะมาซื้อบ้านให้ได้อย่างไร นอกจากนี้ยังไม่ให้เธอบอกใครด้วย แต่นั่นแหละครับ คงเป็นเพราะความรัก ศยามลจึงไม่เอะใจเลยว่า นั่นเป็นกลลวงของหมอบัณฑิต อดีตสามีของเธอ
ศยามลขับรถเก๋งคันดังกล่าวออกมาตามถนน จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งปาดหน้ารถของเธอ และสั่งให้เธอหยุดรถ หลังจากนั้นชายฉกรรจ์ในรถก็เข้ามาจี้ศยามลและน้องอิงอิงไปนั่งที่เบาะหลัง พวกฆาตกรได้ขับรถนิสสันของศยามลไปไว้ที่หมู่บ้านหนองปลาไหล หลังจากนั้นจึงแทงศยามลที่หน้าอกจนเธอเสียชีวิตต่อหน้าบุตรสาวของเธอ หากแต่ว่าไม่จบเพียงเท่านั้น
พวกฆาตกรได้ทำการเปลี้ยงเสื้อผ้าเธอ และพยายามอำพรางศพว่าเป็นคดีฆ่าข่มขืน อำพรางอย่างไร ผมขอไม่ลงรายละเอียดละกัน เพราะว่าจะเป็นการไม่ให้เกียรติแก่ผู้ตาย สาเหตุที่ฆาตกรทำเช่นนั้นก็เพราะเป็นความต้องการของ “ผู้จ้างวาน” เพื่อพยายามจัดฉากหลอกลวงตำรวจ
ใช่แล้ว นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ คือผู้จ้างวานคนนั้น !
“ตอนที่ผมนำกำลังเข้าจับกุม หมอทำงานอยู่ที่ รพ.หัวหิน โดยระหว่างเข้าจับกุม เขามีทีท่าเรียบเฉย ไม่ตกใจหรือหวั่นวิตกใดๆ และยังปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โชคดีที่ผมจับผู้สังหารได้ทั้งหมดและให้การสอดคล้องต้องกันว่า รับว่าจ้างจาก นพ.บัณฑิต จึงทำให้หมอดิ้นไม่หลุด” พ.ต.อ.พิสิทธิ์กล่าว
การสืบสวนแรกๆ อาจจะติดขัดอยู่บ้าง เพราะคนร้ายพยายามจัดฉากว่าเป็นการฆ่าข่มขืนเพื่อชิงทรัพย์ แต่พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ทำให้การสืบสวนพุ่งเป้าไปที่ความขัดแย้งระหว่างศยามลกับหมอบัณฑิตอดีตสามี ทว่ากระบวนการสอบปากคำหมอบัณฑิตกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
จับกุม นพ.บัณฑิต เนื่องจากหมอบัณฑิตเองก็มีหลักฐานยืนยันแหล่งที่อยู่ชัดเจน ช่วงเวลาที่ศยามลถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม เป็นช่วงเดียวกันกับหมอบัณฑิตลาพักร้อน มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 27-30 กันยายน และลากิจเพิ่มอีกในวันที่วันที่ 1 ตุลาคม อีก 1 วัน ประกอบกับหมอบัณฑิตมีหลักฐานมายืนยันแหล่งที่อยู่ เป็นภาพถ่ายและใบเสร็จค่าโรงแรมที่พักใน รร.แปซิฟิกไอซ์แลนด์ จ.ภูเก็ต ซึ่งหมอบัณฑิตอ้างว่าพักอยู่ที่นั่นตลอดช่วงลาพักร้อน
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ทว่าในส่วนของพนักงานสอบสวนเองก็สามารถหักล้างได้ว่า หมอบัณฑิตมีเจตนาจะจัดฉากขึ้น เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง เพราะผู้ต้องหาที่ลงมือสังหารต่างให้การซัดทอดถึงตัวผู้บงการสอดคล้องกัน ไม่มีประเด็นใดสงสัยเป็นอย่างอื่นได้
การสังหารมาจากหมอต้องการไปแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ แม้จะหย่ากับศยามลแล้ว แต่ก็หวั่นวิตกว่าในวันแต่งงานศยามลจะไปก่อกวนงานแต่งจึงต้องสังหาร” พ.ต.อ.พิสิทธิ์ ระบุ
เจ้าหน้าที่คุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพเบาะแสจากปากหนูน้อย และปมสังหารคดีนี้เป็นที่จับตาของคนในสังคม ขณะที่ตำรวจก็เริ่มได้เค้าของฆาตกรรมโหดเหี้ยมแล้ว นอกจากนี้ ยังได้สอบปากคำแม่ของผู้ตายก็ให้การว่า จากการพูดคุยกับหลาน ถามว่า”วันนั้น ศยามล ขึ้นรถไปกับใคร…เด็กหญิง 2 ขวบ

บอกอย่างไม่ชัดเจนนักว่า…”ต๋า” ซึ่งอาจตีความได้คือคำว่า “ป๋า” ปกติแล้ว ด.ญ.อิงอิง จะเรียก นพ.บัณฑิต ว่า “ป๋า”แต่แล้ว…ตำรวจก็พบหลักฐานเบาะแสสำคัญ 1 ชิ้น “บันทึกของศยามล”….ศยามลสาธยายถึงความร้าวรันทดของชีวิตที่เกิดขึ้น จากความผิดหวังในตัวสามีพร้อมกับส่งเรื่องไปตีแผ่ยังนิตยสารรายปักษ์ชื่อดังฉบับหนึ่ง
เมื่อเดือนกันยายน 2534 โดยใช้นามปากกาว่า “สาวนิรนาม”เปิดบันทึกรัก ศยามล ความเจ็บของคนเป็นแม่ในบันทึกของเธอ ได้บรรยายถึงตัวเอง และ เผยว่าได้รู้จักกับนายแพทย์ผู้หนึ่งในโรงพยาบาลเดียวกัน นายแพทย์ผู้นี้พยายามทุกวิถีทางเพื่อยัดเยียดบทบาทความเป็นเจ้าของในตัวเธอ ทั้งที่นายแพทย์ผู้นี้ก็มีหญิงที่หมายปอง
คือ นักศึกษาแพทย์รายหนึ่ง ศยามลรู้อยู่เต็มอก และพยายามบ่ายเบี่ยงเพราะเห็นใจหัวอกผู้หญิงด้วยกัน แต่นายแพทย์ผู้นี้ก็ได้พยายามทุกวิถีทางกระทั่งเข้าทางครอบครัวของเธอนายแพทย์ผู้นี้ถึงกับยอมลงทุนให้ศยามลพาไปจุดธูปเทียนสบถสาบานว่า รักศยามลและจะขอแต่งงานด้วย ต่อหน้าหลุมฝังศพของพ่อเธอ ที่สุดศยามลที่จิตใจเอนเอียงอยู่แล้วก็ตอบรับรัก แต่ได้ขอหลักประกันด้วยการจดทะเบียนสมรส
นายสาธิต มีเย็น หนึ่งในทีมสังหารนอกจากนี้ ในบันทึกยังระบุอีกว่า หลังจากนั้นเธอได้เบนเข็มทิศชีวิตหันไปเรียนตัดเย็บผ้า ใน กทม. เนื่องจากสามีได้อ้อนวอนให้ทำ เมื่ออยู่ห่างกันสัญญาณร้าวฉานก็มาถึง เมื่อศยามลตั้งท้องแต่สามีกลับไม่ดีใจและยังแนะนำในทางที่ผิด ศยามลบรรยายความรู้สึกที่ปวดร้าวว่า
“เขาลืมคำพูดของเขาทุกคำแม้แต่คำว่าเขารักฉัน เพราะเขาไม่ต้องการเกียรติยศและศักดิ์ศรี จากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เหมือนกับเมื่อที่ฉันยังไม่ได้เป็นของเขา”ในบันทึกของศยามลหลังจากนี้ ก็มีแต่เรื่องราวแห่งความเศร้าโศก โดยเล่าถึงสามีที่ไม่เคยดูแลแม้ในยามใกล้คลอด
จะขอบัตรประชาชนเพื่อจะแจ้งว่าเป็น “พ่อของลูก” ก็ยังไม่ยอมให้ จึงต้องใช้ทะเบียนสมรสแทน จากนั้นก็ส่งคนมาเจรจาเพื่อขอแยกทาง สุดท้ายเธอจึงยอมเพราะความเบื่อหน่ายโดยได้เงินมาก้อนหนึ่ง ส่วนบันทึกที่เธอเขียนไว้ก็เพื่อให้ลูกได้รู้ว่าแม่ได้ต่อสู้อย่างไรบ้างขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยังเจอหลักฐานอื่นๆ
จากการตรวจสอบที่บ้านพัก อ.กุยบุรี โดยมีการเขียนระบุถึงผู้จ้างวาน และเผยความในใจว่ายังรักถึงขนาดว่า “หากผู้ใกล้ชิดคนนี้ไปแต่งงานก็จะแต่งชุดดำไปฉีกหน้าในงาน”
ผลชันสูตรพบน้ำอสุจิ…!?! แต่หวังตบตาอย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนอย่างเข้มข้น กระทั่งเจอหลักฐานใหม่ คือ น้ำอสุจิ ซึ่งต่อมาได้มีการพิสูจน์ว่าได้มีคนนำมาฉีดใส่เพื่อที่จะเบี่ยงเบนประเด็น กระทั่งวันที่ 15 ต.ค.2536 พ.ต.ท.ชัยชาญ เงินมูล รอง ผกก.ภ.จ.เพชรบุรี (ขณะนั้น) พร้อมด้วยทีมสืบสวน

บุกเข้า จับกุม นพ.บัณฑิต
ได้บุกจับกุม ส.ต.อ.แผ่ว ภู่เต็ง ขณะกำลังมาขึ้นศาลในคดีพกอาวุธ โดยเจ้าหน้าที่เชื่อว่า ส.ต.อ.แผ่ว อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ขณะที่ นพ.บัณฑิต สามีของศยามล ก็เก็บตัวเงียบบุกจับกุม นพ.บัณฑิต คาโรงพยาบาล
จับกุม นพ.บัณฑิตเจ้าตัวลั่น “ไม่ได้รับความเป็นธรรม!?”คดีนี้ เนื่องจากเกี่ยวพันกับคนมีชื่อเสียงของจังหวัด ทางเจ้าหน้าที่จึงดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยไม่บุ่มบ่ามจับกุม แต่ที่สุดแล้ว วันที่ 20 ต.ค.36 เจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการบุกจับกุม นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ สามีของ นางศยามล ถึงห้องพักแพทย์โรงพยาบาลหัวหิน
โดยตั้งข้อหาจ้างวานฆ่า ปรากฏว่าหลังจากชาวบ้านทราบข่าวได้แห่ไปดูที่หน้าโรงพัก อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ทำการแถลงข่าวในเวลาต่อมา พร้อมกับเผยว่าจับผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ 4 จาก 5 คนแล้ว โดยทีมสังหาร 2 คนคือ ส.ต.อ.แผ่ว ภู่เต็ง และ นายบรรจบ หรือ จุก นิลห้อย
ซึ่งให้การซัดทอด นพ.บัณฑิต“การตายของนางศยามล คล้ายกับคดี “นวลฉวี” ซึ่งเกิดเมื่อหลายสิบปีก่อน จึงเอาเรื่องมากล่าวหาว่าผม ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ทำไมญาติอดีตภรรยาใส่ร้ายผม กล่าวหาจนถูกจับ ทั้งที่การตายของอดีตภรรยาไม่รู้ใครทำ ทำให้ผมไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นนี้” นพ.บัณฑิต กล่าวต่อหน้าผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 21 ต.ค.36
เหล่าญาติพี่น้องของศยามลทราบดีว่า ศยามลมีความสัมพันธ์อันเลวร้ายต่อหมอบัณฑิตอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงรายงานต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า หมอบัณฑิตน่าสงสัยที่สุด เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าถึงตัวเขา หมอบัณฑิตกลับไม่มีท่าทีหวั่นเกรงอะไรเลย เขาทำสีหน้าเรียบๆ และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
หมอบัณฑิตพยายามจะอ้างว่าตนเองไม่มีส่วนรู้เห็นในคดีดังกล่าว เขานำใบเสร็จโรงแรมที่พักที่ภูเก็ตมาให้ตำรวจดู แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่หมอบัณฑิตไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ
ถึงหมอบัณฑิตจะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นผู้จ้างวานฆ่าไม่ได้นี่นา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการค้นพบความจริงว่า ศยามลไม่ได้ถูกฆ่าข่มขืนอย่างที่เห็นในตอนแรก หลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็ได้จับกุมกลุ่มฆาตกรได้ทั้งหมด พวกเขาได้ให้การซัดทอดว่าหมอบัณฑิตเป็นผู้จ้างวานพวกตน และสั่งให้พวกตนทำการอำพรางศพด้วย (ลักษณะเดียวกับคดีนวลฉวี)
เกมจึงโอเวอร์สำหรับหมอบัณฑิต เขาดิ้นไม่หลุดอีกต่อไป เจ้าหน้าที่ตำรวจเล่าว่า สาเหตุที่หมอบัณฑิตจ้างวานพวกฆาตกรก็เพราะว่าเขาต้องการจะแต่งงานใหม่ และกลัวว่าศยามลจะไปทำลายงานของเขา เขาจึงตัดสินใจลงมือกับเธอ เคสนี้ต้องให้เครดิตเจ้าหน้าที่อย่างมากที่ทำงานด้วยความรวดเร็ว ต่างกับเคสอย่างเชอร์รี่ แอน ที่ใช้เวลานานนับสิบปี
เป็นหมอไม่กลัวผี เฝ้ารอแฟนใหม่มาเยี่ยม สุดท้ายไม่เห็นเงา …ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการจองจำ นพ.บัณฑิต ชั่วคราวที่ห้องขัง สภ.อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ทั้งนี้ ห้องขังดังกล่าวขึ้นชื่อเรื่อง “ห้องขังผีสิง” เพราะก่อนหน้ามีคนผูกคอตายไปแล้ว 3 ศพ แม้ตำรวจบ้านลาดเองยังออกอาการ “ขยาด” ทำเอาญาติของ นพ.บัณฑิต
ต้องนำเครื่องรางมาให้เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ…แต่ นพ.บัณฑิต กลับไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรง กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ผมไม่กลัวผี หากกลัวคงไม่เรียนแพทย์ และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องฆ่าตัวตายเหมือนกับทั้ง 3 คนก่อนหน้า”ผู้สื่อข่าวหลายสำนักได้เกาะติดบรรยากาศที่ สภ.อ.บ้านลาด อย่างใกล้ชิด และพบว่า“หมอบัณฑิต”
ได้พยายามถามหา “หญิงสาว” รายหนึ่งกับผู้คุม โดยขอให้อำนวยความสะดวก หากเธอคนนั้นมาเยี่ยม แต่ตลอดทั้งวัน ก็ไร้วี่แวว…ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า “หญิงสาว” คนดังกล่าวอาจจะเป็นคนรักใหม่ของหมอบัณฑิต ซึ่งต่อมามีรายงานว่าได้เดินทางไปต่างประเทศ3 ศาลยืน “ประหาร” หมอฆ่าอดีตเมีย
กระบวนการสอบสวนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายคนสุดท้ายได้ และครบ 5 คน ประกอบด้วย นายสมหมาย สังข์เคลือบ, นายสมหมาย เนียมศรี, นายสาธิต มีเย็น, นายบรรจบ นิลห้อย และ ส.ต.ต.แผ่ว ภูเต็ง สังกัด กก.ตชด.ที่ 14 ค่ายพระมงกุฎเกล้าการสอบสวน นายสมหมาย สังข์เคลือบ ยอมรับว่าได้ร่วมกับพวก คือ นายสมหมาย เนียมศรี และ นายสาธิต มีเย็น สังหารผู้ตาย
โดยมี นายบรรจบ เป็นผู้รับงาน ซึ่งได้รับการว่าจ้างจาก นพ.บัณฑิต ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้กันตัว นายบรรจบ และ ส.ต.ต.แผ่ว ไว้เป็นพยาน กระทั่งต่อมาได้มีการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดส่งต่อให้อัยการและยื่นฟ้องศาล22 ธ.ค.2537 ศาลชั้นต้นสั่งประหาร นพ.บัณฑิต ข้อหาจ้างวานฆ่า นายสมหมาย สังข์เคลือบ นายสมหมาย เนียมศรี และ นายสาธิต มีเย็น สั่งจำคุกตลอดชีวิต
เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ต่อมา นายสาธิต ได้เสียชีวิตระหว่างรอยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น23 ก.ย.2539 ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษายืนตามทั้ง 2 ศาล คือ ประหารชีวิต นพ.บัณฑิต ซึ่งยังปฏิเสธมาโดยตลอด เป็นอันสิ้นสุดคดีประวัติศาสตร์“อิงอิงไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะคนทำดีได้ดี คนทำชั่วต้องได้ชั่ว
เปาบุ้นจิ้นแห่งศาลไคฟงสอนไว้อย่างนี้ อิงอิงชอบเป้าบุ้นจิ้นเพราะสอนให้คนทำดี และต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยมาม้า (ศยามล) ของอิงอิงด้วย” เด็กหญิงวัย 5 ขวบ กล่าว ขณะเดินทางมาฟังคำพิพากษากับพี่สาวของศยามล…
บ่วงกรรม
หมอบัณฑิตจึงถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเข้าคุก หมอเฝ้ารอคนที่หมอจะแต่งงานด้วยมาเยี่ยมอยู่ตลอด แต่เธอก็ไม่มาปรากฏให้เห็นแม้แต่เงา ศาลอาญาทั้งสามศาลได้ตัดสินให้ประหารชีวิตหมอบัณฑิต แต่หมอบัณฑิตกลับได้รับพระราชทานอภัยโทษ โทษของเขาเหลือเพียงจำคุก 40 ปี หมอบัณฑิตจึงใช้ชีวิตอยู่ในคุกหลังจากนั้น โดยทำหน้าที่เป็นหมอให้กับนักโทษคนอื่นๆ ในคุก คดีนี้จึงปิดลงในที่สุด มันได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดจากความรักที่เศร้ากว่าภาพยนตร์เรื่องใดๆ ไปแล้ว