Skip to content
Home » News » ถูกบังคับให้สูญหาย อุ้มฆ่าบิลลี่

ถูกบังคับให้สูญหาย อุ้มฆ่าบิลลี่

ถูกบังคับให้สูญหาย
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_3964276

ถูกบังคับให้สูญหาย อุ้มฆ่าบิลลี่ องค์กรด้านสิทธิเรียกการสูญหายไปของบิลลี่ว่าเป็น ‘การถูกบังคับให้สูญหาย’ (forced disappearance) ซึ่งมีนัยของการที่บุคคลหนึ่งถูกอุ้มหายไปจากสังคม ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมรูปแบบหนึ่งที่ร้ายแรง

ในเวทีเสวนาหัวข้อ ‘คนก็หาย กฎหมายก็ไม่มี’ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมปีนี้ มีข้อมูลใหม่ที่ถูกเปิดเผยออกมาว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ค้นพบวัตถุบางอย่างในอุทยานแก่งกระจาน ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงไปถึงการหายตัวไปของบิลลี่ได้
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มานะ เพิ่มพูล บอกว่า อุทยานฯ ได้รับทราบถึงหลักฐานชิ้นใหม่นี้แล้ว ซึ่งข้อมูลที่พอจะให้ได้ก็คือ เป็นหลักฐานที่ค้นพบแถวๆ สะพานแขวน ซึ่งจุดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของแก่งกระจาน

วันที่ 17 เม.ย. 2563 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์ 6 ปีของการหายไปของบิลลี่ นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษและเร่งตรากฎหมายต่อต้านการทรมานและบังคับสูญหาย ความว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ แกนนำชาวกะเหรี่ยง หลานปู่คออี้ ที่ต่อสู้เรียกร้องเพื่อสิทธิชุมชนและสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองของชาวกะเหรี่ยงแห่งบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน ที่ถูกประกาศทับโดยอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้หายตัวไปเป็นเวลา 6 ปีแล้ว โดยไม่ทราบชะตากรรม

หลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมและควบคุมตัวไป จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2562 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมทีมงาน แถลงความคืบหน้าของคดีระบุว่า ได้พบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร 1 ถัง เหล็กเส้น 2 เส้น ถ่านไม้ 4 ชิ้น และเศษฝาถังน้ำมัน ในลำห้วย ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จากนั้นส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์พบว่า

“วัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส ซึ่งตรวจสอบแล้วพบสารพันธุกรรมตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของนายพอละจี เมื่อพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานอื่นๆในสำนวนประกอบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเชื่อว่า วัตถุดังกล่าวเป็นกระดูกของ นายพอละจี รักจงเจริญ ที่สูญหายไป”

ต่อมาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ดีเอสไอ ขออนุมัติหมายศาลจับกุม นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและพวกรวม 4 คน โดยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อนุมัติหมายจับใน 5 ข้อหา เกี่ยวข้องอาชญากรรมที่ร้ายแรงต่อนายบิลลี่ แต่ผู้ต้องหาทั้งหมด ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว

ต่อมาอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทุกคน ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อจะเอาหรือเอาไว้ ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดจากการที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยง ให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ และข้อหาอื่นๆ ตามที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษเสนอ พนักงานอัยการสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษรและพวกเพียงข้อหาความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น

จากการติดตามคดีนี้ นับตั้งแต่นายบิลลี่ถูกบังคับให้สูญหาย ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวของนายบิลลี่และประชาคมชาวกะเหรี่ยงแห่งผืนป่าแก่งกระจานต้องประสบปัญหาและอุปสรรคตลอดมาในการเรียกร้องแสวงหาความยุติธรรม

จนบัดนี้ครอบครัวและสังคมยังคงไม่ได้รับรู้ความจริง โดยรัฐยังไม่สามารถนำตัวเจ้าหน้าที่ผู้กระทำผิดมาลงโทษ ชดใช้เยียวยาครอบครัวของนายบิลลี่ และแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน และสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองของชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานแต่อย่างใด

การบังคับบุคคลให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือโดยการรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการประติบัติหรือการลงโทษอื่น ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ที่ประเทศไทยเป็นภาคี

และขัดต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดย ถูกบังคับให้สูญหาย (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: CED) ที่ประเทศไทยได้ลงนามและรัฐบาลและรัฐสภาไทยได้อนุมัติให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีแล้ว

แต่การดำเนินการเพื่อออกกฎหมายอนุวัติการให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาทั้งสองฉบับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อให้การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นความผิดทางอาญา เพื่อให้การสอบสวนและดำเนินคดีผู้กระทำผิดมีประสิทธิภาพและโดยไม่มีการยกเว้น กลับถูกทำให้ล่าช้าออกไปโดยไม่มีกำหนด

มูลนิธิผสานวัฒนธรม จึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐและผู้มีอำนาจหน้าทีดำเนินการดังต่อไปนี้

  • ให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อไปจนถึงที่สุด เพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำความผิดต่อนายพอละจีมาลงโทษโดยเร็ว และขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานของเจ้าพนักงานในการสืบสวนสอบสวนอย่างเต็มที่โดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น
  • ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการปกป้อง คุ้มครอง และให้ความช่วยเหลือ พยานโดยเฉพาะกับครอบครัวของนายพอละจี ให้พ้นจากการข่มขู่คุกคามจากอิทธิพลใดๆทั้งสิ้น
  • ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้เร่งทำความเห็นแย้งอัยการคดีพิเศษอย่างจริงจัง เป็นอิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ เพื่อฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลในข้อหาความผิดร้ายแรงต่อไป
  • ขอให้รัฐบาลและรัฐสภาเร่งรัดการตรา “พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการป้องกันบุคคลจากการกระทำให้สูญหาย พ.ศ. …….” เพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ โดยยึดมั่นในหลักการตามอนุสัญญาทั้งสองฉบับโดยเคร่งครัดและครบถ้วน เพื่อคุ้มครองประชาชนและป้องกันไม่เกิดอาชญากรรมอย่างเช่นกรณีนายบิลลี่ขึ้นอีก
  • หากพบว่าการกระทำอันใดที่ละเมิดต่อนายพอละจี รักจงเจริญ เกิดจากการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐคนใด ขอให้หน่วยงานต้นสังกัดพักราชการเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเพื่อป้องกันมิให้ใช้อิทธิพลในการแทรกแซงคดี และลงโทษผู้ทั้งทางวินัยและทางอาญาตามกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของสังคมต่อกระบวนการยุติธรรม
  • ขอให้รัฐบาลยอมรับ เคารพ และปฏิบัติการโดยทันทีและอย่างเป็นผล ในการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองและสิทธิชุมชนของชาวกะเหรี่ยงแห่งผืนป่าแก่งกระจาน และชนเผ่าพื้นเมืองอื่นๆ เพื่อให้เป็นไปตามปณิธานในการต่อสู้ของนายพอละจี รักจงเจริญและปู่โคอี้ ผู้นำชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจาน