
ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีคนที่ 45 แม้โพลแทบทุกสำนักต่างรายงานตรงกันว่า ทรัมป์มีแนวโน้มสูงที่จะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง โดยโพลต่างระบุว่าตั้งแต่เริ่มต้นการหาเสียงช่วงต้นปีจนกระทั่งถึงการเสร็จสิ้นการดีเบตทั้งสามครั้งกับ ฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ทรัมป์มีคะแนนตามหลังนางคลินตัน
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์สามารถชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Make America Great Again” ได้สำเร็จ ส่งผลให้ในวัย 70 ปี ทรัมป์เป็นบุคคลอายุมากที่สุด (ในขณะนั้น) และมีทรัพย์สินมากที่สุดที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
เป็นบุคคลแรกที่ไม่เคยรับราชการทหารหรือข้าราชการมาก่อน และเป็นบุคคลที่สี่ที่ได้รับเลือกตั้งโดยไม่ได้คะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งข้างมากทั่วประเทศ เขาได้รับคะแนนเสียง 63 ล้านเสียง และเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีไม่กี่ท่านของสหรัฐที่พ่ายแพ้คะแนน Popular โหวตแต่สามารถเอาชนะด้วย Electoral vote (ด้วยคะแนน 304 – 227)
และชนะการเลือกตั้งได้ โดย ไมค์ เพนซ์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งรอง ปธน.สหรัฐฯ ก็ได้ก้าวขึ้นรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ในส่วนของการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภานั้น พรรคริพับลีกันชนะได้เสียงข้างมากในวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียง 51 ต่อ 47 เสียง ส่วนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ผลปรากฏว่า พรรคริพับลีกันสามารถครองเสียงข้างมากในสภาด้วยคะแนนเสียง 232 ต่อ 175 เสียง
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2016 ระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลีกัน และ นางฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต ศึกแห่งทำเนียบขาวครั้งนี้ เรียกได้ว่าดุเดือดและดุเด็ดเผ็ดมัน ชวนติดตามเป็นอย่างมาก ซึ่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีจากสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์
จากการที่พรรคเดโมแครต ได้ส่ง นางฮิลลารี คลินตัน มาลงชิงชัยในศึกการชิงประธานาธิบดีแห่งทำเนียบขาว เพื่อประลองฝีมือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีจากพรรครีพับลิกัน โดยก่อนหน้านี้ ระหว่างการหาเสียง ก็เกิดความรุนแรงและการปะทะกันเป็นระยะ ๆ จากผู้สนับสนุนของทั้งสองฝ่าย
รวมไปถึงการดีเบต ปราศรัยหาเสียงระหว่างตัวแทนจากทั้งสองพรรคที่เผ็ดร้อน รวมทั้งยังมีการสาดโคลนไปมาอย่างดุเดือดสุด ๆ โดย ณ ตอนนี้ จากผลการนับคะแนนพบว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีคะแนนนำนาง ฮิลลารี คลินตัน โดยที่นางฮิลลารี ได้คะแนนจากรัฐนิวยอร์ก, นิวเจอร์ซีย์, อิลลินอยส์, โอเรกอน, โรดไอส์แลนด์, เดลาแวร์, แมรีแลนด์, แมสซาชูเซตส์ เป็นต้น ใน
ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในรัฐมิสซูรี, อาร์คันซอ, ไวโอมมิง, เท็กซัส, เซาท์ดาโกต้า, นอร์ธดาโกตา, แคนซัส, แอละแบมา, เทนเนสซี, โอคลาโฮมา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นายโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถเอาชนะนางฮิลลารี่ คลินตัน ด้วยคะแนน 218 ต่อ 276 คิดเป็น 48% ต่อ 47%
ในส่วนของการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภานั้น พรรครีพับลีกัน ชนะได้เสียงข้างมากในวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียง 51 ต่อ 47 เสียง ส่วนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ผลปรากฏว่า พรรครีพับลีกัน สามารถครองเสียงข้างมากในสภาด้วยคะแนนเสียง 232 ต่อ 175 เสียง
ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีคนที่ 45 นโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลีกัน นโยบายบริหารและการเมืองแบบสุดโต่งของ โดนัลด์ ทรัมป์ มักเป็นที่สนใจทุกครั้งและมักตกเป็นข่าวอื้อฉาวบ่อยครั้ง โดยเฉพาะนโยบายละเอียดอ่อนเกี่ยวกับผู้อพยพ นายทรัมป์ เคยประกาศสร้างกำแพงกั้นพรมแดงระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก เพื่อตัดช่องทางของผู้ลักลอบเข้าเมือง
อีกทั้งยังมีแผนจะให้เม็กซิโกต้องชำระจ่ายเงินทั้งหมด เนื่องจากเชื่อว่ารัฐบาลเม็กซิโกรู้เห็นเป็นใจให้พลเมืองตัวเองแอบเข้ามาหากินในแผ่นดินสหรัฐ นายทรัมป์ ยังประกาศกร้าวว่า หากพบผู้อพยพก่อคดีในสหรัฐฯ จะบังคับให้ส่งตัวกลับประเทศทันที และเพิ่มบทลงโทษเข้มงวดสำหรับผู้ที่อยู่สหรัฐฯ เกิดกำหนดในวีซ่า
พร้อมกับมีแนวคิดไม่ให้ชาวมุสลิมเข้าสหรัฐฯ ด้วย เพราะนโยบายนี้เอง ทำให้ นายทรัมป์ ต่างได้ใจชาวอเมริกันผิวขาวส่วนใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับโพลสำรวจผู้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งที่พบว่า เกินกว่าร้อยละ 52 ต่างลงคะแนนให้ นายทรัมป์ แต่ขณะที่ชาวอเมริกันเชื้อสายลาติน หรือ ฮิสแปนิก ที่ไม่พอใจกับนโยบายนี้ ต่างเทคะแนนให้ นางคลินตัน กว่าร้อยละ 70
ขณะที่นโยบายบริหารเศรษฐกิจของนายทรัมป์ ที่เคยลั่นวาจาอย่างหนักแน่น ทำให้สื่อวิเคราะห์ว่า สหรัฐฯ อาจจะกลับไปเหมือนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่บริหารโดดเดี่ยว ไม่พึ่งพาใคร นำการลงทุนจากต่างประเทศกลับมาประเทศตัวเอง เพื่อสร้างงานให้คนในประเทศ ทั้งนี้ นายทรัมป์ ยังประกาศลดภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 15% จากเดิม 35%
กลายเป็นนโยบายที่ทำให้ได้ใจผู้คน แต่ความเสี่ยงหลักๆ เรื่องการตัดขาดทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกีดกันสินค้าจากประเทศจีน เป็นสิ่งที่เด็ดเดี่ยวของเขา เนื่องจากอาจจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากยังต้องพึ่งพากำลังการผลิตจากจีนอยู่มาก หากมองถึงนโยบายบริหารภายในประเทศของนายทรัมป์
เขาตั้งใจจะลดสถิติอาชญากรรมในประเทศให้ได้ หลังจากระยะหลังๆ มักเกิดกรณีความขัดแย้งระหว่างตำรวจกับคนผิวสีหลายครั้ง พร้อมฟื้นเอาบทลงโทษการประหารชีวิตผู้ต้องหากลับมา ส่วนปัญหาอัตราการว่างงานและสวัสดิการของรัฐบาลต่างๆ ที่จะยกเลิกกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับนโยบายเก่าของ บารัค โอบามา โดยเฉพาะประกันสุขภาพที่เป็นปัญหาเรื้อรังที่จะเปลี่ยนให้ประชาชนจ่ายเอง รักษาเอง
ปิดท้ายด้วยนโยบายเรื่องกลุ่มก่อการร้าย นายทรัมป์ วางแผนใช้วิธีเจรจาและแทรกแซงเข้าปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย เนื่องจากเขามองเห็นว่า ประเทศลิเบีย ล่มสลายเพราะการไม่เข้าไปแทรกแซงช่วยเหลือ เขาต้องการจะเข้าไปเจรจากับประเทศอิหร่าน ทำข้อตกลงเรื่องนิวเคลียร์ และร่วมมือกันถล่มกลุ่มไอซิสให้หมดไป รวมทั้งจะไม่ให้สหรัฐฯ ร่วมปฏิบัตินาโต ถ้าประเทศในสมาชิกไม่ช่วยลงขันด้วย
ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง นโยบายเศรษฐกิจและสังคม
ทรัมป์ประกาศอย่างชัดเจนต่อสาธารณชนก่อนการเลือกตั้งว่า เขาจะเข้ามาปฏิรูปนโยบายด้านต่างๆที่ บารัค โอบามา ได้ทำไว้ และแสดงเจตนารมณ์ในการบริหารประเทศภายใต้คอนเซ็ปต์ “Make America Great Again” ซึ่งเป็นนโยบายที่ โรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีคนที่ 40 เคยใช้หาเสียง ตลอดระยะเวลา 4 ปีในการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ เขาให้ความสำคัญกับนโยบายด้านเศรษฐกิจมาก
โดยมีการปรับภาษีให้เท่าเทียมกัน และมีการลดหย่อนภาษีลงอย่างทั่วถึง โดยรวมถึงการลดค่าใช่จ่ายในการเลี้ยงบุตรและค่ารักษาพยาบาลทั่วไปอีกด้วย ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อลดจำนวนคนว่างงานลงให้มากที่สุด นอกจากนี้ทรัมป์ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นประธานาธิบดีที่ให้ความใส่ใจกับนโยบายด้านการควบคุมผู้อพยพเข้าประเทศมากที่สุดท่านหนึ่ง
เขาให้ความเข้มงวดเรื่องนี้มากเนื่องจากต้องการผลักดันกฎหมายแรงงานให้ชาวอเมริกันมีสิทธิ์มากกว่าชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในสหรัฐ ซึ่งจุดนี้จะเป็นการรับประกันเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของชาวอเมริกันได้ รวมถึงการประกันรายได้การมีงานที่ดีรองรับโดยคำถึงถึงสิทธิ์ของคนอเมริกันก่อนเป็นอันดับแรก
และเขาได้มีการเพิ่มมาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการก่อการร้าย โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดจำนวนผู้อพยพจากพรมแดนเม็กซิโกและแถบละตินอเมริกาลงให้มากที่สุด เขาและภรรยามีการลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนหลายครั้งในหลายรัฐ และแสดงจุดยืนในการเสริมสร้างความมั่นใจของประชาชนต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ทรัมป์กล่าวว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการบังคับใช้กฎหมายการควบคุมอาวุธปืนโดยทั่วไป แม้ว่ามุมมองของเขาจะเปลี่ยนไปบ้างหลังจากเกิดเหตุกราดยิงกันหลายครั้งในระหว่างดำรงตำแหน่ง
ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะเสนอกฎหมายเพื่อลดความรุนแรงในการใช้ปืน แต่ต่อมาได้ถูกยกเลิกในเดือนพฤศจิกายนปี 2019 ฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้แสดงจุดยืนต่อต้านการใช้กัญชาโดยเพิกถอนนโยบายของโอบามาในยุคที่ให้ความคุ้มครองสำหรับรัฐทีอนุญาตให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายโดยกำหนดโทษถึงประหารชีวิต
ทรัมป์อนุมัติการให้มีการประหารชีวิตโดยรัฐบาลกลางครั้งแรกในรอบหลายปี ภายใต้การบริหารประเทศของทรัมป์รัฐบาลกลางประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดรวม 13 ราย มากที่สุดในรอบ 56 ปี ในปี 2017 ทรัมป์กล่าวว่าเขาสนับสนุนการใช้วิธีการทรมานด้วยการสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและเป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ตามกฎหมาย แต่ภายหลังนโยบายดังกล่าวได้ถูกคัดค้านโดย เจมส์ แมตทิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม