
บทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อญี่ปุ่นเคลื่อนพลเข้าประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ปรีดีกับดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น เป็นผู้คัดค้านการยอมให้ทัพญี่ปุ่นเคลื่อนทัพผ่านประเทศของทูตญี่ปุ่น และคัดค้านการเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น
ปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลในวันที่ 16 ธันวาคม 2484 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกมองว่าไร้อำนาจ โดยมติของสภาผู้แทนราษฎร การแต่งตั้งนี้มีมูลเหตุมาจากความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างปรีดีกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตลอดจนอิทธิพลบีบบังคับของญี่ปุ่นเนื่องจากปรีดีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขัดขวางมิให้ญี่ปุ่นนำเงินสกุลเยนมาแลกเงินบาทเพื่อใช้ซื้อเสบียงเลี้ยงกองทัพญี่ปุ่น และไม่ยอมให้กู้ยืมเงินบาท
คล้อยหลังปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี รัฐบาลก็ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่นในวันที่ 21 ธันวาคม และเมื่อรัฐบาลประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 ปรีดีในฐานะหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หลีกเลี่ยงการร่วมลงนามในประกาศสงคราม อันจะทำให้ประกาศไม่มีผลสมบูรณ์ ระหว่างสงคราม ปรีดีถวายความปลอดภัยให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์โดยจัดให้ไปพำนักอยู่ที่พระราชวังบางปะอิน
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2486 ปรีดีได้รับคำสั่งจากจอมพล ป. พิบูลสงครามในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้ไปประจำกองบัญชาการทหารสูงสุดในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย แต่เขาไม่ยอมปฏิบัติตามเพราะเห็นว่าการสั่งผู้สำเร็จราชการเป็นโมฆะตามกฎหมาย ในที่สุดปรีดีได้รับการอารักขาจากทหารเรือ ในวันที่ 22 กันยายน 2486 จอมพล ป. ตั้งกรรมการสอบสวนปรีดีโดยกล่าวหาว่าเขาว่าแผนจะจับตนเพื่อเป็นการต่อต้านญี่ปุ่น แต่รอดพ้นจากข้อหาไปได้อย่างหวุดหวิด
ปรีดีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญผลักดันให้ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2487 หลังรัฐบาลจอมพล ป. ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากแพ้เสียงร่างพระราชบัญญัติสำคัญ 2 ฉบับ เขายังแต่งตั้งพลเอก พจน์ พหลโยธินเป็นรัฐมนตรีลอย, แม่ทัพใหญ่ (แทนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ถูกยกเลิกไป) และผู้บัญชาการทหารบก ตลอดจนตั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เพื่อป้องกันรัฐประหาร
ปรีดี พนมยงค์เป็นผู้นำจัดตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่นหรือขบวนการเสรีไทยในประเทศ ทวี บุณยเกตุ เล่าว่า ปรีดีติดต่อฝ่ายสัมพันธมิตรแล้วส่งคนออกนอกประเทศเป็นสาย ๆ และดำริแผนให้ทวีได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้วจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนอกประเทศ แต่จอมพล ป. ขัดขวาง เมื่อแผนตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศ ซึ่งสำนักงานบริการด้านยุทธศาสตร์ (โอเอสเอส) และหน่วย 136 ที่เป็นฝ่ายข่าวกรองของสหรัฐ และบริเตนในอินเดียตามลำดับ ตั้งรหัสนามให้ว่า “รู้ธ” (Ruth) ทั้งสองประเทศก็ขอส่งตัวแทนมาขอตั้งหน่วยปฏิบัติการลับในพระนครด้วย
ในเดือนพฤษภาคม 2488 ปรีดีแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทราบว่า ไทยจะใช้อุบายบอกเลิกสัญญาต่าง ๆ กับญี่ปุ่น และเสรีไทยจำนวน 8 หมื่นคนทั่วประเทศพร้อมที่จะลุกฮือขึ้นเพื่อทำสงครามกับทหารญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ร้องขอให้ชะลอแผนนี้ไว้ก่อน อย่างไรก็ดี สำหรับการเจรจาการเมืองเรื่องการรับรองเอกราชของไทยนั้น สหราชอาณาจักรไม่ยอมตอบ สุดท้ายมีการกำหนดวันที่ 1 กันยายน 2488 เป็นวันจับอาวุธลุกขึ้นสู่กับทหารญี่ปุ่นในประเทศ อย่างไรก็ดี จักรวรรดิญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 15 สิงหาคมก่อนวันลงมือ
บทบาททางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ประกาศสันติภาพ
วันที่ 16 สิงหาคม 2488 ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ออกประกาศสันติภาพ ใจความว่าการประกาศสงครามต่อสหรัฐและบริเตนใหญ่เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 เป็นโมฆะ และประเทศไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติในการสถาปนาสันติภาพในโลกนี้ ต่อมารัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 16 สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันสันติภาพไทย ภายหลังประกาศสันติภาพ ปรีดีประกาศยกเลิกขบวนการเสรีไทย
เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนน จอมพล เจียง ไคเชก หัวหน้ารัฐบาลชาตินิยมจีนเรียกร้องจะเข้ามาปลดอาวุธทหารญีปุ่นที่อยู่เหนือเส้นขนานที่ 16 องศาเหนือ หรือเกือบครึ่งประเทศ ปรีดีได้ขอแฮร์รี ทรูแมน ประธานาธิบดีสหรัฐให้ยับยั้งคำขอดังกล่าวได้สำเร็จ ฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกร้องให้ไทยจับตัวผู้ที่ถูกระบุตัวเป็นอาชญากรสงครามไปขึ้นศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกลในประเทศญี่ปุ่น ด้านจอมพล ป. พิบูลสงครามก็เขียนจดหมายถึงปรีดีขอให้ฝ่ายหลังช่วยเหลือ สุดท้ายด้วยการเจรจาของปรีดีทำให้ไทยได้รับความยินยอมให้มีกฎหมายอาชญากรสงครามของไทยโดยเฉพาะมาใช้บังคับ และจัดตั้งศาลอาชญากรสงครามขึ้นในประเทศไทย
ฝ่ายสัมพันธมิตรแจ้งให้ปรีดีทราบว่า สัมพันธมิตรไม่ถือว่าประเทศไทยเป็นผู้แพ้สงคราม ประเทศไทยไม่ต้องถูกยึดครอง รัฐบาลไทยไม่ต้องยอมจำนน กองทัพไทยไม่ต้องวางอาวุธ และให้รีบออกแถลงการณ์ปฏิเสธการประกาศสงครามระหว่างไทยกับสัมพันธมิตร เพื่อลบล้างข้อผูกพันทั้งหลายที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำไว้กับญี่ปุ่น
เมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีแล้วปรีดี พนมยงค์จึงขออัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัติประเทศไทยเพื่อทรงบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เองต่อไป โดยได้เสด็จกลับถึงพระนครวันที่ 5 ธันวาคม 2488 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบปรีดีที่ไปเฝ้ารับเสด็จบางตอนว่า “ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอันมากที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจแทนข้าพเจ้า ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อข้าพเจ้าและประเทศชาติ
ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ แสดงไมตรีจิตในคุณงามความดีของท่าน ที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และช่วยบำรุงรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้” ด้วยคุณูปการที่เป็นผู้นำในการกอบกู้บ้านเมืองในยามคับขัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องปรีดี พนมยงค์ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ลงในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 8 ธันวาคม 2488 ในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดที่สามัญชนพึงได้รับพระราชทานแก่เขา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2488
บทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นายกรัฐมนตรีและทูตสันถวไมตรี
บทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังสงคราม ปรีดีพยายามรักษาฐานอำนาจของตนผ่านการควบคุมตำรวจ สารวัตรทหารและกลุ่มเสรีไทย ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตอเมริกันวิจารณ์ว่า อาวุธในมือเสรีไทยเป็น “คลังแสงส่วนตัวของกองทัพส่วนตัว” ในเดือนมกราคม 2489 หลังการเลือกตั้งใหม่แทนสภาชุดเดิมที่ยุบไปหลังสงครามยุติ ปรีดีด้วยเห็นว่าความคิดทางการเมืองของควงเปลี่ยนไปจากคณะปฏิวัติเดิมแล้ว จึงสนับสนุนให้ดิเรก ชัยนามเป็นนายกรัฐมนตรี แต่แพ้เสียงควง อภัยวงศ์ พรรคประชาธิปัตย์จึงได้จัดตั้งรัฐบาลช่วงสั้น ๆ ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2489
ต่อมา รัฐบาลไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่ผ่านสภา จึงลาออกจากตำแหน่ง พรรคสหชีพและพรรคแนวรัฐธรรมนูญสนับสนุนปรีดีให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 8 เขาเจรจาแก้ไขความตกลงสมบูรณ์แบบในข้อที่ไทยจะต้องส่งข้าวเปล่าให้แก่สหราชอาณาจักร กลายเป็นต้องซื้อข้าวไทยแทน
เขาเป็นผู้ก่อตั้งหอสมุดดำรงราชานุภาพ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งทั้งสองสภา ก็ได้ประกาศใช้ในสมัยของเขาด้วย ผู้แทนทางทูตอเมริกันประเมินว่า นโยบายของรัฐบาลเขา “ไม่มีสังคมนิยมเจือปน” จะมีก็แต่การสนับสนุนสหกรณ์เกษตรกรและรัฐวิสาหกิจเท่านั้น
วันที่ 9 มิถุนายน 2489 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต รัฐบาลปรีดีที่เพิ่งชนะเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาให้อัญเชิญพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อไป เมื่อสภามีมติเห็นชอบแล้ว ปรีดีก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 11 มิถุนายน 2489 แต่สภาผู้แทนราษฎรก็สนับสนุนให้ปรีดีดำรงตำแหน่งตามเดิม
เขายังได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกพฤฒสภาช่วงสั้น ๆ ก่อนลาออกไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขต 2 ซึ่งเขาได้รับเลือกตั้งเพราะไม่มีผู้อื่นลงสมัครแข่ง สำหรับบทบาทของปรีดีในกรณีสวรรคต ส. ศิวรักษ์เขียนว่า เขาปกป้องเชื้อพระวงศ์ที่ประพฤติผิด และไม่ได้ให้อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชันสูตรพระศพแต่แรก และจับกุมผู้ทำลายหลักฐาน
กรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้ทำให้ศัตรูทางการเมืองของปรีดี ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มทหารสายจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่สูญเสียอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พรรคการเมืองฝ่ายค้านนำโดย พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มอำนาจเก่า ฉวยโอกาสนำมาใช้ทำลายปรีดีทางการเมือง โดยการกระจายข่าวไปตามหนังสือพิมพ์ และสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งส่งคนไปตะโกนในศาลาเฉลิมกรุงว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง” และนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาในเดือนสิงหาคม 2489 โดยหลังจากนั้นหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มปรีดีให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน
ต้นเดือนพฤศจิกายน 2489 ภายหลังจากที่ปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ได้รับเชิญจากรัฐบาลหลายประเทศให้ไปเยือนประเทศเหล่านั้น รัฐบาลไทยทราบจึงแต่งตั้งเขาเป็นทูตสันถวไมตรี โดยได้ไปเยือนประเทศจีนเป็นแห่งแรก จากนั้นก็ไปฟิลิปปินส์ สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ รวม 9 ประเทศ และกลับมาถึงกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2490
ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติลำดับที่ 55 ในวันที่ 16 ธันวาคม 2489 โดยปรีดีใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำประเทศฝรั่งเศสและสหภาพโซเวียตมิให้ทั้งสองประเทศนี้ในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติใช้อำนาจยับยั้งการสมาชิกเข้าเป็นสมาชิกของไทย
เขายังได้มีข้อเสนอแนะด้านการพัฒนาเกษตรกรรมแก่รัฐบาล เช่น ส่งเสริมการผสมพันธุ์ฝ้าย การใช้เครื่องจักรช่วยในการกสิกรรม จัดระเบียบอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์และการจับปลาใหม่ ส่งเสริมโครงการสร้างบ้านเป็นงานอาคารสงเคราะห์ สร้างสวนสาธารณะ ส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เขาเสนอให้สร้างเขื่อนชัยนาทโดยรัฐบาลก็เห็นชอบข้อเสนอดังกล่าว ในปี 2490 ปรีดีพยายามขอการสนับสนุนจากชาติตะวันตกแก่รัฐบาลเขา
แต่นอกเหนือจากนั้น ยังเป็นไปเพื่อขอการสนับสนุนแก่บริษัทเขาและเขื่อนชัยนาท นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำคนแรกที่ขอรับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทหารจากสหรัฐ เขายังพยายามเข้าเป็นพันธมิตรทางทหารของสหรัฐ และขอที่ปรึกษาทางทหารมาเพื่อปรับปรุงกองทัพไทย แต่สหรัฐปฏิเสธว่าไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภา อย่างไรก็ดี เขามีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายเรียกร้องเอกราชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเวียดนาม โดยผู้แทนเวียดนามระบุว่า มีความปรารถนาก่อตั้งสหพันธ์ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อว่าปรีดีจะเป็นหัวหน้าสหพันธ์ดังกล่าวโดยธรรมชาติ