
ปรีดี ปฐมวัยและการงาน ปรีดี พนมยงค์เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2443 ณ เรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า เมืองกรุงเก่า ในครอบครัวชาวนา เป็นบุตรของเสียงและลูกจันทน์ พนมยงค์
บรรพบุรุษของปรีดีตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดพนมยงค์มาช้านาน บรรพบุรุษข้างบิดานั้นสืบเชื้อสายมาจากพระนมในสมัยกรุงศรีอยุธยาชื่อ “ประยงค์” พระนมประยงค์เป็นผู้สร้างวัดในที่สวนของตัวเอง วัดนั้นได้ชื่อตามผู้สร้างว่า วัดพระนมยงค์ หรือ วัดพนมยงค์ ล่วงมาจนมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 ทายาทจึงได้ใช้นามสกุลว่า “พนมยงค์”
บรรพบุรุษรุ่นปู่-ย่าของปรีดีประกอบกิจการค้าขายมีฐานะเป็นคหบดีใหญ่ แต่บิดาชอบชีวิตอิสระไม่ชอบประกอบอาชีพค้าขาย จึงหันไปยึดอาชีพกสิกรรม เริ่มต้นด้วยการทำป่าไม้ และต่อมาได้ไปบุกเบิกถางพงร้างเพื่อจับจองที่ทำนาบริเวณทุ่งหลวง อำเภอวังน้อย แต่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติและสัตว์รังควานทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดี ซ้ำรัฐบาลให้สัมปทานบริษัทแห่งหนึ่งขุดคลองผ่านที่ดินของบิดาและยังเรียกเก็บค่าขุดคลอง ซึ่งบิดาของปรีดีต้องกู้เงินมาจ่ายเป็นค่ากรอกนา ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวเลวลงจนเป็นหนี้สินอยู่หลายปี
จากการเติบโตในครอบครัวชาวนา เขาจึงทราบซึ้งถึงสภาพความเป็นอยู่และความทุกข์ยากของชนชั้นชาวนา และการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าที่ดินศักดินา เหล่านี้เป็นแรงกระตุ้นให้ปรีดีดำริเปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศในเวลาต่อมา เขาเริ่มมีความสนใจเรื่องการเมืองมาตั้งแต่อายุ 11 ปี จากเหตุการณ์ปฏิวัติในจักรวรรดิชิงที่นำโดย ซุน ยัตเซ็น และเหตุการณ์กบฏ ร.ศ. 130 ในสยาม ซึ่งเขาแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างมากต่อผู้ที่ถูกลงโทษในครั้งนั้น
การศึกษา
ปรีดี ปฐมวัยและการงาน แม้นเกิดในครอบครัวชาวนา แต่บิดาของเขาเป็นผู้ใฝ่รู้และเล็งเห็นประโยชน์ของการศึกษา และสนับสนุนให้บุตรได้รับการศึกษาที่ดีมาโดยตลอด ปรีดีเริ่มเรียนหนังสือที่บ้านครูแสง ตำบลท่าวาสุกรี และสำเร็จการศึกษาในระดับประถมที่โรงเรียนวัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า จากนั้นไปศึกษาชั้นมัธยมเตรียมที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร
แล้วย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคือ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย) จนสอบไล่ได้ชั้นมัธยม 6 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดสำหรับหัวเมือง แล้วไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ในปี 2460 อายุได้ 17 ปี เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม
และศึกษาภาษาฝรั่งเศสที่เนติบัณฑิตยสภา รู้สึกประทับใจกับอาจารย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ เลเดแกร์ (Laydeker) ซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุติธรรมด้วย ต่อมาสอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตได้ในขณะมีอายุ 19 ปี เขาเคยว่าความคดีเดียว โดยเป็นทนายความจำเลยในคดีที่จำเลยก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณสถานที่ของพระมหากษัตริย์
ซึ่งเขาให้เหตุผลจนชนะคดีว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ต่อมาเขาทำงานเป็นเสมียนกรมราชทัณฑ์โดยได้รับการสนับสนุนจากอธิบดี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ซึ่งปรีดียกย่องว่าได้รับความรู้เรื่องการบริหารรัฐกิจจากเขา
ต่อมาได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงยุติธรรมให้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 2463 เขาใช้เวลาเรียนเตรีนยมภาษาฝรั่งเศส ภาษาละติน และภาษาอังกฤษก่อนหนึ่งปี แล้วสามารถสอบเข้าศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยก็อง (Université de Caen) จนสอบไล่ได้ปริญญารัฐเป็น “บาเชอลีเย” สาขากฎหมาย (bachelier en droit) และได้ปริญญารัฐเป็น “ลีซ็องซีเย” สาขากฎหมาย (Licencié en Droit) ตามลำดับ
ทั้งนี้หลักสูตรลิซองซิเอของฝรั่งเศสได้รวบรวมความรู้หลายด้าน ทั้งการยุติธรรม ศาล มหาดไทย คลัง ต่างประเทศ เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขานิติศาสตร์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีสในปี 2469 โดยเขาเสนอวิทยานิพนธ์ชื่อ “ในกรณีที่หุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตาย

ฐานะของห้างหุ้นส่วนส่วนบุคคลจะเป็นอย่างไร (ศึกษาตามกฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ)” (Du Sort des Socié tés de Personnes en cas de Dé cés d’un Associé (Etude de droit franceais et de droit comparé)) ซึ่งอุทิศให้แก่เลเดแกร์ นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ปริญญาเอกแห่งรัฐ (doctorat d’état) เป็น “ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย” (docteur en droit) ฝ่ายนิติศาสตร์ (sciences juridiques) นอกจากนี้เขายังสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง (diplôme d’études supérieures d’économie politique) อีกด้วย
ในปี 2467 ปรีดีก่อตั้งสมาคมนักเรียนไทยในกรุงปารีส สามัคยานุเคราะห์สมาคม และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสมาคม ต่อมาเขาเกิดพิพาทกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส เนื่องจากขัดคำสั่งพระองค์ที่ห้ามส่งตัวแทนสมาคมนักเรียนไปยังสหราชอาณาจักรในปี 2469
ต่อมา บรรดาผู้บริหารสมาคมฯ กำลังร่างคำร้องทุกข์ขอเพิ่มเงินเดือนเนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลฟรังก์ ทำให้อัครราชทูตหมดขันติ พระองค์ทำหนังสือกราบบังคมทูลว่า ปรีดีเป็นหัวหน้าชักชวนนักเรียนขัดคำสั่งเอกอัครราชทูตเห็นจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์และให้เรียกตัวกลับ
ด้านพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริว่าไม่ทรงถือปรีดีเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ แต่มีการกระทำที่อวดดีแบบคนหนุ่ม และให้ยุบสมาคมฯ อย่างไรก็ดี บิดาของปรีดีถวายฎีกาขอให้ผ่อนผันการเรียกตัวปรีดีกลับประเทศจนกว่าจะสำเร็จปริญญาเอก
กระทรวงยุติธรรมโดยเจ้าพระยาพิชัยญาติขอเอาตัวเองเป็นประกันขอให้ปรีดีศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษา อีกหลายปีถัดมา ปรีดีให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเขาตั้งใจปลุกปั่นนักเรียนให้เกิดสำนึกทางการเมืองจริงซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต นอกจากนี้ ปรีดียังถูกเพ่งเล็งจากกรณีไปพบผู้แทนสาธารณรัฐจีนคนหนึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ
วิชาชีพกฎหมาย
เมื่อกลับถึงจังหวัดพระนครในเดือนเมษายน 2470 เขาเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย (ปัจจุบันคือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม” (ต่อมาได้ลาออกจากบรรดาศักดิ์ในปี 2485)
เขาเกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายโดยเฉพาะประมวลกฎหมาย นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน และทำหน้าที่เป็นศาลปกครองพิจารณาข้อพิพาทระหว่างข้าราชการและราษฎร เมื่อปี 2471 ขณะมีอายุ 28 ปี ต่อมาในปี 2475 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการกรมร่างกฎหมาย
ระหว่างนั้นเขาได้รวบรวมกฎหมายไทยตั้งแต่กฎหมายตราสามดวงจนถึงเวลานั้นเป็นเล่มเดียว ใช้ชื่อว่า ประชุมกฎหมายไทย และได้รับการตีพิมพ์ในปี 2473 ที่โรงพิมพ์นิติสาสน์ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของเขาเอง หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมและสร้างรายได้ให้แก่เขาเป็นอย่างมาก
นอกจากงานที่กรมร่างกฎหมายแล้ว ปรีดียังเป็นอาจารย์ผู้สอนที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ในชั้นแรกได้สอนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยลักษณะหุ้นส่วน บริษัทและสมาคม ต่อมาได้สอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล ในปี 2474 ปรีดีเป็นคนแรกที่เริ่มสอนวิชากฎหมายปกครอง (Droit Administratif)
กล่าวกันว่าวิชากฎหมายปกครองนี้ เป็นวิชาที่สร้างชื่อเสียงแก่ปรีดีเป็นอย่างมาก เพราะสาระของวิชานี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชากฎหมายมหาชน ซึ่งอธิบายการแยกใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งขัดต่อหลักสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จูงใจให้ผู้ศึกษาใส่ใจกิจการบ้านเมือง รู้สึกอยากปกครองตนเอง ในคำบรรยายของเขา
เขากล่าวถึงหลักการรัฐธรรมนูญ การพัฒนาการบริหารราชการแผ่นดินของสยาม และเศรษฐกิจการเมืองและการคลังสาธารณะเบื้องต้น หนังสือวิชากฎหมายปกครองของเขากลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลุกเร้ามวลชนในการปฏิวัติสยาม