Skip to content
Home » News » ปูติน เข้าสู่การเมือง

ปูติน เข้าสู่การเมือง

ปูติน เข้าสู่การเมือง ในเดือนพฤษภาคม 1990 ปูตินได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาด้านกิจการต่างประเทศของนายกเทศมนตรีอนาโตลี ซ็อบจัก ต่อมาในเดือนมิถุนายน 1991 เขาก็ได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการความสัมพันธ์ภายนอกประจำสำนักนายกเทศมนตรีนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

รับผิดชอบงานพัฒนาความสัมพันธ์กับต่างประเทศและการลงทุนจากต่างชาติ ในคณะกรรมการที่มีเขาเป็นประธานนี้ ปูตินได้เปิดโอกาสให้บุคคลจากภาคธุรกิจเข้ามาร่วมเป็นกรรมการ ในเดือนมีนาคม 1994 ปูตินได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานคนที่หนึ่งของฝ่ายบริหารเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 1995 ปูตินได้บริหารสาขาของพรรคนาชโดม – รซซียา (Our Home Is Russia) ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลที่ก่อตั้งโดยนายกรัฐมนตรี วีกเตอร์ เชอร์โนมีร์ดีน ซึ่งในฤดูร้อนของปีเดียวกันนั้น ปูตินได้เป็นผู้ทำหน้าที่จัดการนโยบายหาเสียงในการเลือกตั้งของพรรคฯ ปูตินเป็นหัวหน้าสาขาของพรรคนาชโดม – รซซียาประจำเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจนถึงเดือนมิถุนายน 1997

ปูติน เข้าสู่การเมือง
https://www.infoquest.co.th/2020/11364

ถึงแม้เจ้านายของปูติน อนาโตลี ซ็อบจัก จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีในปี 1996 แต่ปูตินได้รับข้อเสนอตำแหน่งงานในคณะบริหารเซนต์ปีเตอร์เบิร์กชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม ปูตินได้ปฏิเสธตำแหน่งดังกล่าวไปเนื่องจากไม่ต้องการหักหลังนายเก่า เมื่อทราบว่าตนเองกำลังจะว่างงาน

ปูตินจึงคิดจะเป็นคนขับรถแท็กซี่หรือทำงานพาร์ทไทม์เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่แล้วปูตินก็ได้รับคำเชิญจากพาเวล โบโรดีน หัวหน้าสำนักจัดการทรัพย์สินส่วนประธานาธิบดี ให้ไปเป็นผู้ช่วยของเขาในมอสโก ปูตินตอบรับคำเชิญดังกล่าวและย้ายไปยังกรุงมอสโกในเดือนมิถุนายน 1996 ในตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักจัดการทรัพย์สินส่วนประธานาธิบดี ต่อมาในเดือนมีนาคม 1997 ประธานาธิบดีเยลต์ซินได้แต่งตั้งปูตินเป็นรองเสนาธิการทำเนียบเครมลินควบตำแหน่งหัวหน้ากองบังคับการใหญ่สำนักจัดการทรัพย์สินส่วนประธานาธิบดี

ปูติน เข้าสู่การเมือง ในวันที่ 9 สิงหาคม 1999 ปูตินได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี บอริส เยลต์ซิน ให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีลำดับที่หนึ่งจากสามลำดับ และภายหลังในวันเดียวกันนั้นได้รับแต่งตั้งให้รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรัสเซีย ซึ่งประธานาธิบดีเยลต์ซินได้ประกาศด้วยว่า เขาอยากเห็นปูตินเป็นผู้สืบทอดทางการเมืองต่อจากเขา หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง สภาล่างได้มีเห็นชอบการแต่งตั้งปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 233 เสียง (คัดค้าน 84 เสียง, งดออกเสียง 17 เสียง)ซึ่งทำให้ปูตินกลายเป็นผู้ที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังอยู่บนเส้นทางการเมืองระดับชาติได้เพียง 18 เดือน ซึ่งในตอนที่เขาได้รับแต่งตั้งนั้น เขาแทบจะไม่เป็นที่รู้จักของสาธารณชนมาก่อน และผู้คนไม่คาดหวังอะไรกับเขามากนักที่ติดภาพลักษณ์เป็นเด็กเส้นของเยลต์ซิน แล้วก็เหมือนกับนายกฯคนอื่นๆของเยลต์ซิน ปูตินไม่ได้เป็นคนเลือกสมาชิกคณะรัฐมนตรีด้วยตัวเอง คณะรัฐมนตรีของเขาถูกเลือกมาโดยประธานาธิบดี

สุขภาพของประธานาธิบดีเยลต์ซินย่ำแย่ลงอย่างกะทันหัน คู่แข่งทางการเมืองของเยลต์ซินเริ่มออกปราศัยถึงบุคคลที่จะมาแทนที่เขา แต่พวกเขาก็ต้องพบกับความยากลำบากเมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นรักษาการประธานาธิบดี การรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย (law-and-order) ตลอดจนการเดินหน้าปฏิบัติการในสงครามเชชเนียครั้งที่สองถือเป็นภาพลักษณ์ทรงศักยภาพของปูติน นำมาซึ่งกระแสนิยมในตัวปูตินที่เพิ่มขึ้น และพาให้ปูตินสามารถยืนอยู่เหนือคู่แข่งทางการเมืองทั้งหมดได้

เนื่องจากเขาไม่ได้กำลังสังกัดอยู่กับพรรคการเมืองใด ปูตินได้ให้สัญญาที่จะสนับสนุนพรรคเอกภาพซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่พึ่งตั้งขึ้นใหม่และครองสัดส่วนเป็นอันดับสองของคะแนนเสียงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (23.3%) ในเดือนธันวาคม 1999 และจะตอบแทนปูตินในสภาเป็นการต่างตอบแทน

ในวันที่ 31 ธันวาคม 1999 ประธานาธิบดีเยลต์ซินประกาศลาออกอย่างไม่คาดคิด ซึ่งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทำให้ปูตินซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องขึ้นมาเป็นรักษาการประธานาธิบดี ซึ่งในระหว่างที่เขาเป็นรักษาการนี้ เขาได้เดินทางไปให้กำลังกองทหารในเชชเนีย

คำสั่งประธานาธิบดีฉบับแรก ได้รับการลงนามโดยปูตินในวันที่ 31 ธันวาคม 1999 โดยเป็นคำสั่งเรื่อง “คำรับรองแก่อดีตประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียและสมาชิกครอบครัว”เพื่อเป็นที่มั่นใจได้ว่า “บรรดาข้อกล่าวหาการทุจริตที่มีต่อประธานาธิบดีที่พึ่งพ้นจากตำแหน่งไปและที่มีต่อญาติของท่าน” จะไม่ถูกสืบและดำเนินการต่ออีกซึ่งประเด็นนี้เคยถูกพุ่งเป้าไปที่บริษัทก่อสร้าง Mabetex ที่มีชื่อเยลต์ซินและครอบครัวเข้าไปพัวพัน และเมื่อการลาออกของเยลต์ซินมีผล การเลือกตั้งประธานาธิบดีจึงมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม 2000 ซึ่งปูตินชนะการลงคะแนนรอบแรกด้วยคะแนน 53%

ปูตินเข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 7 พฤษภาคม 2000 และได้แต่งตั้งรัฐมนตรีคลัง มีฮาอิล คาซยานอฟ เป็นนายกรัฐมนตรี

บททดสอบแรกในตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 2000 เรือดำน้ำนิวเคลียร์ คูร์สก ขนาด 13,400 ตันที่อยู่ระหว่างการฝึกในทะเลเกิดการระเบิดขึ้นและจมลง ทำให้ลูกเรือเสียชีวิต 118 คนโศกนาฎกรรมครั้งร้ายแรงนี้ก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ในตัวปูตินอย่างมาก เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายวันกว่าที่ปูตินจะกลับจากหยุดยาวพักผ่อน และกว่าเขาจะมาดูซากเรือก็กินเวลาอีกหลายวัน

ในวาระแรกของการดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2000 ถึง 2004 ปูตินได้วางแนวทางในการแก้ไขภาวะความยากจนในประเทศ นอกจากนี้ปูตินยังได้ต่อรองกับชนชั้นนำในประเทศ ซึ่งปูตินเปิดทางให้ชนชั้นนำเหล่านี้ยังมีอิทธิพลได้อย่างเต็มเปี่ยม และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ชนชั้นนำเหล่านี้ก็หันมาสนับสนุนและกลายเป็นฐานอำนาจที่มั่นคงของปูตินเกิดนักธุรกิจใหญ่โตขึ้นมากมายในรัสเซียซึ่งล้วนแต่เป็นพันธมิตรของปูติน

ไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2004 ปูตินได้ปลดคณะรัฐมนตรีของคาซยานอฟ และตั้งมีฮาอิล ฟรัดกอฟ ขึ้นมาเป็นนายกฯแทน และในวันที่ 14 มีนาคม 2004 ปูตินก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีติดต่อเป็นวาระที่สอง โดยได้รับคะแนนเสียงถึง 71%

เนื่องจากรัฐธรรมนูญรัสเซียบัญญัติให้ประธานาธิบดีสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินสองวาระ ดังนั้นปูตินจึงเลือกให้ดมีตรี เมดเวเดฟ ซึ่งเป็นเพื่อนและอดีตเสนาธิการเครมลินของเขาเป็นตัวแทนของเขาในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน ซึ่งเมดเวเดฟก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ซึ่งในวันเดียวกันนั้นเองปูตินได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ปูตินยังสามารถคงอิทธิพลทางการเมืองการปกครองไว้ได้[

ปูตินอ้างว่า การเอาชนะความยากลำบากในวิกฤตเศรษฐกิจโลก เป็นหนึ่งในความสำเร็จสองอย่างของปูตินในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง ความสำเร็จอีกอย่างคือการรักษาเสถียรภาพด้านขนาดประชากรในรัสเซียระหว่างปี 2008–2011 หลังจากที่รัสเซียต้องเผชิญกับภาวะจำนวนประชากรถดถอยมากว่าสองทศวรรษ

ในการประชุมใหญ่ของพรรคในวันที่ 24 กันยายน 2011 เมดเวเดฟก็ประกาศให้ปูตินเป็นผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม นักสังเกตการณ์จำนวนมากเชื่อว่าปูตินจะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีวาระที่สาม และเมดเวเดฟก็ถูกวางตัวให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไปหลังเมดเวเดฟลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม หลังผลการเลือกตั้งเมื่อ 4 ธันวาคม 2011 ได้ออกมาและปูตินเป็นผู้ชนะนั้น มีชาวรัสเซียหลายหมื่นคนออกมาประท้วงต่อต้านผลการเลือกตั้งและกล่าวหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปูตินเข้ามาปกครองประเทศ กลุ่มผู้ประท้วงได้ออกมาเรียกร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%8C_%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99