ผลงาน มาริลิน มอนโร นอกจากบทบาทการแสดงแล้วในภาพยนตร์แทบทุกเรื่องมักจะมีฉากที่ มาริลีน ร้องเพลงอยู่ด้วยเสมอ และเธอมักจะถูกพูดถึงเสมอในฉากร้องเพลง มาริลีนเคยให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจที่สุดในการแสดงอย่างใดๆ ก็แล้วแต่ การร้องเพลงและการแสดงประกอบเป็นสิ่งที่เธอถนัดที่สุด
ผลงาน มาริลิน มอนโร เธอได้โชว์เสียงเป็นครั้งแรกกับเพลง Every Baby Needs A Da Da Daddy และ Anyone Can Tell I Love You ในภาพยนตร์เรื่อง La-dies Of The Chorus (พ.ศ. 2491) และในปี พ.ศ. 2493 กับ Oh,What A Forward Young Man You Are ในภาพยนตร์เรื่อง A Ticket To Tomahawk
ซึ่งมาริลีนแสดงเป็นแค่ตัวประกอบ 1 ใน 3 สาวคอรัส ส่วนฉากที่เรียกได้ว่าทำให้ มาริลีน เริ่มกลายเป็น Sex symbol ส่วนนึงมาจากภาพยนตร์เรื่อง Niagara (1953) ต่อมาเธอได้ร้องเพลง Two Littles Girls From Little Rock, Bye Bye Baby และ When Love Goes Wrong (Nothing Goes Right)
ในภาพยนตร์เรื่อง Gentleman Prefer Blondes และต่อมาเพลงที่ถูกมาดอนน่าเลียนแบบไปใน Diamonds Are A Girls’s Bestfriend และฉากที่ไม่มีใครลืมเธอเมื่อมาริลีน ร้องเพลง River Of No return กับเปียโนกับชื่อหนังเรื่องเดียวกันในปี 1954
และผลงานนอกจอคือการที่เธอไปร้องเพลง Happy Birthday To You ให้กับประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี ที่เมดิสัน สแควร์ การ์เด็น เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คน
ผลงานภาพยนตร์
พ.ศ. 2491 – เลดี้ ออฟ เดอะ คอรัส
พ.ศ. 2492 – เลิฟ แฮปปี้
พ.ศ. 2493 – เดอะ แอสฟัลต์ จังเกิ้ล
พ.ศ. 2495 – แคลช บาย ไนท์
พ.ศ. 2496 – เนียอะการา
พ.ศ. 2497 – ริเวอร์ ออฟ โน รีเทิร์น
พ.ศ. 2499 – บัส สต๊อป
พ.ศ. 2500 – เดอะ ปริ๊นซ์ แอนด์ เดอะ โชว์เกิร์ล
พ.ศ. 2502 – ซัม ไลท์ อิส ฮอต
พ.ศ. 2503 – เลส เมค เลิฟ
พ.ศ. 2504 – เดอะ มิสฟิทธ์
พ.ศ. 2505 – ซัมทิง ก๊อท ทู กิฟ (ถ่ายทำไม่สำเร็จ)
เบื้องหลังฉากที่ดังที่สุดของมาริลีน มอนโร

ผลงาน มาริลิน มอนโร ฉากสุดคลาสสิก
น้อยคนนักที่จะไม่เคยเห็นภาพสาวสวยมาริลีน มอนโร ยืนสวมเดรสสีขาวจับกระโปรงที่กำลังถูกลมพัดเปิด ในขณะเดียวกันก็มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าภาพนี้มาจากหนังเรื่องใด
ฉากสุดคลาสสิกที่กลายเป็นภาพไอคอนของมาริลีน มอนโร ที่คนจดจำได้มากที่สุดจนถึงทุกวันนี้มาจากหนังเรื่อง The Seven Year Itch หนังโรแมนติกคอเมดี้ในปี 1955 ของผู้กำกับบิลลี่ ไวลเดอร์ ที่ดัดแปลงจากละครเวทีสุดฮิตชื่อเดียวกันของจอร์จ อะเซลร็อด โดยทอม ยูเวลล์ นักแสดงชายที่รับบทนำในละครบรอดเวย์เรื่องนี้อยู่นานสามปี (รวม 1,141 รอบ)
กลับมารับบทเดิมในเวอร์ชั่นจอเงิน หนังเล่าเรื่องของริชาร์ด เชอร์แมน หนุ่มวัยกลางคนที่ภรรยาพาลูกชายไปพักร้อนที่ต่างเมืองหลายวัน ประจวบเหมาะกับมีอดีตนางแบบสาวสวยระดับมาริลีน มอนโร เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ในอพาร์ตเมนท์ชั้นบน
ต่อมกลัดมันของชายโสดชั่วคราวเลยกลับมาทำงานอีกครั้งและถลาลึกขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ริชาร์ดเกิดจิตตก ต้องไปปรึกษาจิตแพทย์เพราะเกรงว่าเขากำลังจะนอกใจภรรยาและทำลายชีวิตสมรสที่อยู่มานานถึงเจ็ดปีแล้ว
ริชาร์ด: “ผมแต่งงานมาเจ็ดปี และคิดว่าผมกำลังจะเป็นโรคที่หมอเรียกว่า ‘Seven-Year Itch’ ผมควรทำยังไงครับ”
หมอ: “ถ้าเกิดอาการคัน หมอว่ามันก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องเกา”
เดิมทีสำนวน The Seven-Year Itch ถูกใช้เรียกโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่รักษาหายยากถึงขนาดเปรียบเปรยว่าถ้าเป็นแล้วจะคันอยู่นานถึงเจ็ดปี แต่หลังจากอะเซลร็อดนำสำนวนนี้มาตั้งชื่อบทละครและต่อยอดด้วยหนังดังเรื่องนี้ สำนวน The Seven-Year Itch ก็เปลี่ยนไปในทันที หมายถึงผู้ชายที่แต่งงานแล้วและมีแนวโน้มจะนอกใจภรรยาเมื่อเข้าสู่ช่วงปีที่เจ็ดของชีวิตคู่ตามตัวละครเอกของเรื่อง
และประเด็นนี้นำมาสู่เสียงตอบรับที่ไม่สู้ดีนักเมื่อหนังออกฉาย ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดี แต่เป็นเพราะผู้คนในสมัยนั้นยังทำใจไม่ได้ที่เห็นพระเอกทำผิดศีลธรรม อีกทั้งบทของมอนโรที่ขึ้นเครดิตว่า ‘The Girl’ ก็กลายเป็นผู้หญิงที่ดูไม่ดี ขนาดผู้กำกับ ไวลเดอร์เองยังออกมากล่าวในโอกาสที่หนังครบรอบ 60 ปีเมื่อปีก่อนว่า “มันเป็นหนังที่ไม่มีอะไรเลย” และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่สร้างมัน
อย่างไรก็ดี หนังกวาดเงินในโรงถึง 12 ล้านเหรียญบวกจากร้านเช่าวิดีโออีก 6 ล้านเหรียญ ทั้งที่ลงทุนแค่ 1.8 ล้าน นอกจากนี้ทอม ยูเวลล์ ยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำในฐานะนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทเพลงหรือตลก หลังจากนั้นหนังยังได้รับการยกย่องจากสถาบัน AFI ให้ติดอันดับที่ 51 หนังตลกที่ดีที่สุดตลอดกาล (100 Years…100 Laughs)
ฉากกระโปรงเปิดชื่อดังของมอนโรนั้นถ่ายทำกันตอนตีหนึ่งของวันที่ 15 กันยายน ปี 1954 ที่หัวมุมถนนเล็กซิงตันตัดกับถนนสาย 52 ในนิวยอร์ก มอนโรสวมเดรสสีขาวของดีไซเนอร์วิลเลียม ทราวิลลา (ที่ประมูลไปได้ถึง 4.6 ล้านเหรียญในปี 2011) ยืนอยู่เหนือช่องลมของรถไฟใต้ดินจริงๆ และถ่ายทำไปถึง 14 เทค กินเวลาราว 3 ชั่วโมง
ท่ามกลางช่างภาพ 100 คน และฝูงชนที่มามุงดูดาราสาวคนนี้ราว 2,000 คน (ว่ากันว่าทุกครั้งที่ลมพัดกระโปรงเธอเปิดขึ้น ก็จะมีเสียงร้อง ‘วู้ว’ เกิดขึ้น) ทว่าทั้ง 14 เทคที่ถ่ายไปในคืนนั้นใช้ไม่ได้เลย
เนื่องจากเต็มไปด้วยเสียงรบกวนของผู้คนรอบข้าง สุดท้ายมอนโรต้องกลับไปถ่ายฉากนี้ซ้ำอีกรอบที่โรงถ่ายของฟ็อกซ์ในแคลิฟอร์เนียและถูกใช้ในหนัง ส่วนฉากที่ถ่ายในโลเกชั่นจริงก็ถูกนำไปใช้เป็นภาพโปรโมตและโฆษณา หากใครได้ดูหนังจริงจะเห็นว่าไม่มีช็อตใดที่เห็นมอนโรยืนกระโปรงเปิดแบบเต็มตัวดังที่เห็นในหน้านี้เลย
ว่ากันว่าฉากคลาสสิกนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้มอนโรเกิดทะเลาะเบาะแว้งกับโจ ดิแมจิโอ สามีนักเบสบอลในตอนนั้นซึ่งเกิดอาการไม่พอใจที่ภรรยาไปเปิดเผยเนื้อหนังมังสาให้คนอื่นได้เห็น ลามไปจนถึงขั้นหย่าขาดกันในเดือนตุลาคมปีนั้น หลังจากถ่ายทำฉากนั้นแค่เดือนเดียวและก่อนที่หนัง The Seven Year Itch จะออกฉายเสียด้วยซ้ำ
วันที่ในข่าวนี้ 1 มกราคม 1948 วันที่ประมาณการ