Skip to content
Home » News » ผลงาน 100 วันแรกของ โจ ไบเดน

ผลงาน 100 วันแรกของ โจ ไบเดน

ผลงาน 100 วันแรกของ โจ ไบเดน โจ ไบเดน ทำงานครบ 100 วัน ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ในวันที่ 29 เมษายน หลังเข้าพิธีสาบานตนเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 เราไปเช็กผลงานกันว่า เขาทำอะไรไปแล้วบ้าง ได้ตามเป้า เกินเป้า หรือพลาดเป้าจากที่หาเสียงหรือสัญญาไว้หรือไม่

ผลงาน 100 วันแรกของ โจ ไบเดน

ผลงาน 100 วันแรกของ โจ ไบเดน
https://www.bbc.com/thai/international-54853864

ฉีดวัคซีนให้ประชาชน 100 ล้านโดส

  • ไบเดนให้คำมั่นว่าจะฉีดวัคซีนให้ชาวอเมริกัน 100 ล้านโดสภายใน 100 วันแรกของการทำหน้าที่ประธานาธิบดี หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ทำไม่ได้ตามเป้าในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน 20 ล้านคนภายในสิ้นปี 2020 ตามที่เคยประกาศไว้
  • จากข้อมูล รัฐบาลของไบเดนทำได้ตามเป้าหมายตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม หรือก่อนกำหนดที่ตั้งไว้ถึง 40 วัน และฉีดครบ 200 ล้านโดสเมื่อวันที่ 21 เมษายน ซึ่งเร็วกว่ากรอบเวลาใหม่ที่ตั้งไว้ถึง 1 สัปดาห์ ซึ่งถือว่าเกินเป้าไปมาก 

2. ฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโรคระบาด

  • ก่อนพิธีสาบานตน ไบเดนเสนอแผนเยียวยาเศรษฐกิจ โดยขอให้สภาคองเกรสอนุมัติแพ็กเกจงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อจ่ายเช็คเงินสดให้ประชาชนเพิ่มเติม รวมทั้งช่วยเหลือคนตกงาน และพยุงธุรกิจขนาดเล็กให้อยู่รอดได้ต่อไป
  • ในเดือนมีนาคม สภาคองเกรสผ่านแพ็กเกจที่รู้จักในชื่อ American Rescue Plan ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นไปตามที่ไบเดนเสนอ แต่ก็มีส่วนที่เปลี่ยนแปลง เช่น การจำกัดขอบเขตการจ่ายเช็คเงินสดแก่ประชาชนคนละ 1,400 ดอลลาร์ให้แคบลง และเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง
  • ปัจจุบัน รัฐบาลไบเดนส่งเช็คเงินสดวงเงินสูงสุด 1,400 ดอลลาร์ให้กับประชาชนแล้วกว่า 160 ล้านคน และจัดสรรงบช่วยเหลือสถาบันการศึกษาระดับมลรัฐจำนวนกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ และเพิ่มเงินสนับสนุนโปรแกรม Affordable Care Act ในการให้ชาวอเมริกันเข้าถึงการคุ้มครองในระบบประกันสุขภาพ

3. นโยบายต่างประเทศ

  • ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะเป็นประเด็นสำคัญที่ไบเดนเคยหาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้ง แต่หลังจากรับตำแหน่งแล้ว เขาโฟกัสไปที่ประเทศอัฟกานิสถาน อิหร่าน และรัสเซียมากกว่า
  • ไบเดนให้คำมั่นว่าจะถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถานก่อนวันที่ 11 กันยายน ซึ่งเป็นวันครบรอบเหตุการณ์วินาศกรรมโจมตีตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์ก ปี 2001 หลังสหรัฐฯ ติดหล่มสงครามในอัฟกานิสถานเป็นเวลา 2 ทศวรรษ ซึ่งถือเป็นสงครามในต่างแดนที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา
  • ไบเดนระบุกรอบเวลาว่าจะเริ่มถอนหทารตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงที่รัฐบาลทรัมป์ทำกับกลุ่มตอลิบาน โดยกองกำลังสหรัฐฯ บางส่วนจะยังคงประจำการในอัฟกานิสถานเพื่อคุ้มครองทูตอเมริกัน อย่างไรก็ตามเขาไม่เปิดเผยจำนวนที่แน่ชัด ขณะที่ภารกิจด้านมนุษยธรรมและการทูตในอัฟกานิสถานจะดำเนินต่อไป และจะเดินหน้าสนับสนุนสันติภาพระหว่างรัฐบาลอัฟกานิสถานกับกลุ่มตอลิบาน
  • ในประเด็นนิวเคลียร์อิหร่านนั้น ไบเดนพยายามกอบกู้ข้อตกลงฉบับปี 2015 ที่สหรัฐฯ ทำกับอิหร่านในสมัยรัฐบาล บารัก โอบามา หลังทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงในปี 2018
  • สหรัฐฯ และอิหร่านฟื้นการเจรจาที่กรุงเวียนนาในเดือนเมษายน ถึงแม้คณะผู้แทนจากสองฝ่ายจะไม่ได้พูดคุยกันโดยตรง แต่ก็มีการแลกเปลี่ยนมุมมองผ่านทางเจ้าหน้าที่จากประเทศมหาอำนาจที่อยู่ในข้อตกลง ซึ่งเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เผยว่า การพูดคุยที่เวียนนาเป็นเพียงก้าวแรกของเฟสแรกในการกลับสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน
  • รัฐบาลไบเดนออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียและขับนักการทูตออกจากประเทศ เพื่อตอบโต้กรณีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020 รวมถึงกรณีการโจมตีทางไซเบอร์ SolarWinds และการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงในดินแดนไครเมียที่รัสเซียผนวกมาจากยูเครน

4. ปัญหาโลกร้อน

  • เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไบเดนทำตามคำมั่นสัญญาด้วยการจัดประชุมสุดยอดทางภูมิอากาศโลกภายในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง ซึ่งในเวทีดังกล่าว เขาประกาศโรดแมปชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50-52% เมื่อเทียบกับระดับที่ปล่อยในปี 2005 ภายในปี 2030 
  • เป้าหมายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงปารีส ซึ่งไบเดนนำสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมความตกลง หลังจากที่ทรัมป์ประกาศถอนตัวในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง

5. แก้ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและส่งเสริมความเท่าเทียม

  • หลังรับตำแหน่ง ไบเดนเดินหน้าแก้ปัญหาความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติ โดยเริ่มจากการตั้งคณะรัฐมนตรีที่มีความหลากหลายทางเพศและเชื้อชาติมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และมีการลงนามคำสั่งพิเศษหลายฉบับที่มุ่งอุดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในการเป็นเจ้าของบ้านระหว่างคนผิวสีและคนผิวขาว
  • ในเดือนมกราคม ไบเดนลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารยกเลิกคำสั่งแบนของทรัมป์ที่ห้ามบุคคลข้ามเพศเข้าเป็นทหารในกองทัพ โดยกระทรวงกลาโหมหรือเพนตากอนเผยในเดือนมีนาคมว่า นโยบายใหม่ๆ จะเริ่มมีผลในวันที่ 30 เมษายนเป็นต้นไป ซึ่งรวมถึงการเปิดทางให้บุคคลข้ามเพศเข้าร่วมกองทัพ และเข้าถึงบริการรักษาทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น โดยจะป้องกันการเลือกปฏิบัติในกองทัพ
https://thestandard.co/joe-bidens-first-100-days/

ตอนที่นายโจ ไบเดน ประกาศสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้อย่างเป็นทางการ เขาบอกว่าเขายืนหยัดต่อสู้เพื่อสองสิ่ง คือคนงานที่ “สร้างประเทศนี้” และค่านิยมที่จะประสานรอยร้าวจากการแบ่งแยกในสังคม

ขณะที่สหรัฐฯ เผชิญความท้าทายหลายอย่าง ตั้งแต่ภาวะโรคระบาดไปจนถึงความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ แนวนโยบายหลักของเขาจึงเน้นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้คนทำงาน ฟื้นฟูการปกป้องสิ่งแวดล้อม สิทธิการรักษาพยาบาล และมิตรประเทศในต่างแดน

เขาส่งสารนี้ถึงผู้ชมทั่วประเทศตอนที่พรรคเดโมแครตประกาศชื่อเขาเป็นตัวแทนพรรคลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ

โรคระบาดโควิด-19

โครงการตรวจหาเชื้อและติดตามตัวทั่วประเทศ

แนวทางในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศอย่างใหญ่หลวง คือการจัดให้มีการตรวจหาเชื้อฟรี และจ้างคน 1 แสนอัตรา สำหรับดำเนินโครงการติดตามตัวผู้สัมผัสเชื้อทั่วประเทศ

งานและเงิน

เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และลงทุนเรื่องพลังงานสีเขียว

เพื่อรับมือกับผลกระทบจากภาวะโรคระบาด นายไบเดนให้คำมั่นว่าจะ “จัดสรรงบให้เท่าที่จำเป็น” เพื่อปล่อยกู้ให้ธุรกิจขนาดเล็ก และเพิ่มเงินเยียวยาให้ครอบครัว หนึ่งในข้อเสนอคือเพิ่มเงินช่วยเหลือด้านสังคม 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ( ราว 6,000 บาท) ต่อเดือน ซึ่งเท่ากับเป็นการล้มเลิกนโยบายลดหย่อนภาษี และโครงการผ่อนผันหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษาของรัฐบาลทรัมป์

เชื้อชาติ

ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เงินให้เปล่าสำหรับชุมชนชองชนกลุ่มน้อย

หลังเกิดกระแสประท้วงเรื่องความอยุติธรรมทางเชื้อชาติทั่วสหรัฐฯ นายไบเดนบอกว่าเขาเชื่อว่าการเหยียดเชื้อชาติยังมีอยู่ในสหรัฐฯ และจัดการได้ด้วยแผนเศรษฐกิจและสังคมเพื่อสนับสนุนคนกลุ่มน้อย และหัวใจของแผนฟื้นฟูของเขาคือการทุ่มงบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสร้างงานและธุรกิจให้คนกลุ่มน้อย

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กลับเข้าร่วมข้อตกลงระดับโลกอีกครั้ง

นายไบเดนบอกว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยอันตรายที่มีอยู่จริง เขาบอกว่าจะสนับสนุนให้ทุกชาติในโลกเร่งมือจัดการเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ ด้วยการเข้าร่วมข้อตกลงปารีสอีกครั้ง หลังจากที่นายทรัมป์ประกาศให้สหรัฐฯ ถอนตัวออกมา ข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลให้สหรัฐฯ ต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 28% ภายในปี 2025

นโยบายการต่างประเทศ

กู้ชื่อเสียงของอเมริกาและอาจจัดการกับจีน

นายไบเดนเขียนไว้ว่า ในฐานะประธานาธิบดี เขาจะให้ความสำคัญกับประเด็นระดับชาติก่อน นั่นหมายถึงว่า เขายังยึดแนวทางการทำงานร่วมกับนานาชาติในเวทีโลก ตรงข้ามกับนโยบายของนายทรัมป์ที่ต้องการแยกอเมริกาออกมา เขายังสัญญาด้วยว่าจะกระชับความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตร โดยเฉพาะพันธมิตรนาโต้ ซึ่งนายทรัมป์ขู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะตัดเงินสมทบ

สุขภาพ

ขยายแผนโอบามาแคร์

ตอนที่เขาเป็นรองประธานาธิบดี สมัยรัฐบาลโอบามา เขาบอกว่าจะขยายแผนประกันสุขภาพ และเดินหน้าให้แผนสำเร็จเพื่อให้ชาวอเมริกันราว 97% ได้รับความคุ้มครอง และเกือบจะได้เสนอแผนดูแลสุขภาพถ้วนหน้าด้วย เขาสัญญาจะให้ชาวอเมริกันทุกคนมีทางเลือกขึ้นทะเบียนในประกันสาธารณสุข คล้ายกับเมดิแคร์ ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุ และเขายังลดข้อกำหนดเรื่องอายุขั้นต่ำสำหรับความคุ้มครองเมดิแคร์ จาก 65 เป็น 60 ปี คณะกรรมาธิการด้านงบประมาณรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ขึ้นกับพรรคใด ประเมินว่าแผนของนายไบเดนจะต้องใช้งบราว 2.25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะ 10 ปี

การย้ายถิ่นฐาน

ยกเลิกนโยบายทรัมป์

นายไบเดนสัญญาว่า ภายใน 100 วันแรกของการขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เขาจะเปลี่ยนนโยบายของนายทรัมป์ที่พรากพ่อแม่ลูกที่ชายแดนระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ยกเลิกข้อจำกัดเรื่องการสมัครขอรับสถานะผู้ลี้ภัย และยกเลิกข้อห้ามเดินทางเข้าประเทศจากกลุ่มประเทศมุสลิม

เขายังสัญญาจะปกป้อง “นักล่าฝัน” ซึ่งเป็นเยาวชนจากครอบครัวผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย และได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยในประเทศได้ภายใต้นโยบายรัฐบาลโอบามา เขาบอกว่าจะให้คนกลุ่มนี้มีสิทธิ์เข้าโครงการขอเงินช่วยเหลือสำหรับนักเรียนด้วย

การศึกษา

โครงการเพื่อเด็กวัยก่อนเข้าเรียน ขยายสิทธิ์เรียนฟรี

เรียกได้ว่าเป็นนโยบายฝ่ายซ้ายที่ชัดเจน เพราะนายไบเดนหนุนนโยบายด้านการศึกษาหลายประการ ซึ่งเป็นแนวนิยมของทางพรรคด้วย ไม่ว่าจะเป็น การผ่อนผันหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา การเพิ่มวิทยาลัยที่ไม่เก็บค่าเล่าเรียน และการเข้าถึงโครงการเพื่อเด็กก่อนวัยเรียน งบประมาณที่จะมาใช้ตรงนี้จะมาจากการยกเลิกแผนลดภาษีของนายทรัมป์นั่นเอง

https://www.bbc.com/thai/international-54151862
https://www.bbc.com/thai/international-54151862