Skip to content
Home » News » มาตราการคุมไข้หวัดใหญ่ ในไทย

มาตราการคุมไข้หวัดใหญ่ ในไทย

https://www.thaihealth.or.th/Content/51374-ใครบ้างต้องใส่หน้ากากอนามัย.html

มาตราการคุมไข้หวัดใหญ่ “ไทยติดเชื้อแล้ว รายที่ 10” ยังเป็นกระแสให้ประชาชนเกิดความตระหนกอยู่เรื่อย สำหรับเจ้าโรค “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009” ที่กลายเป็นดาราดังได้ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับมากว่า 1 เดือน หลายคนที่ติดตามข่าวคงเกิดอาการเครียด วิตกกังวลกลัวว่าจะติดเชื้อ และวิ่งหาหน้ากากปิดปากมาใส่กันจ้าละหวั่น โดยที่หารู้ไม่ว่า คนไม่ป่วยแล้วใส่หน้ากากจะป้องกันการกระจายเชื้อได้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น!!

ด้วยเหตุนี้ สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุข จึงร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดบรรยายพิเศษเรื่อง “รู้ทันไข้หวัดใหญ่ 2009…พวกเรารวมใจพร้อมรับมือ” เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 52 โดย นพ.ยง ภู่สุวรรณ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุมสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพมหานคร

จากการบอกเล่าของ นพ.ยง ภู่สุวรรณ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการบรรยายพิเศษเรื่อง “รู้ทันไข้หวัดใหญ่ 2009…พวกเรารวมใจพร้อมรับมือ” พบว่า ครั้งแรกของการระบาดนั้น มีการเข้าใจว่าเกิดจากการติดจากคนสู่หมูจนผู้คนกล่าวขานไวรัสตัวนี้ว่าเป็น ไข้หวัดหมู หรือ swine flu 

มาตราการคุมไข้หวัดใหญ่ แต่ความจริงแล้วไวรัสไข้หวัดใหญ่ตัวนี้ เพียงมีสารพันธุกรรมหลายท่อนคล้ายคลึงกับเชื้อไวรัสที่อยู่ในหมู แต่เป็นเชื้อที่ไม่เคยพบทั้งในคนและหมู “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009” จึงเป็นเชื้อไวรัสในตระกูลไข้หวัดใหญ่ที่มีการกลายพันธุ์และติดต่อจากคนสู่คน 

 “ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว เพราะตามธรรมชาติไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีการกลายพันธุ์ทุกวัน ในขณะที่ร่างกายของเราจะพัฒนาภูมิคุ้มกันทุก 14 วัน เมื่อพัฒนาไม่ทันกัน ก็ทำให้เกิดการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ของคน ซึ่งไม่เคยพบมาก่อน เนื่องจากเป็นการผสมกันของสารพันธุกรรมไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ นก และหมู ซึ่งเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด A สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ซึ่งในอนาคตอาจเกิดการอุบัติซ้ำอีกก็ได้”

นพ.ยง บอกอีกว่า หากมองจากสถานการณ์การระบาด เชื่อว่า องค์การอนามัยโลกอาจขยับสัญญาณอันตรายจากระดับ 5 ไปสู่ระดับ 6 ได้ นั่นหมายถึงว่า ขอบเขตในการแพร่เชื้อได้กว้างขึ้นไปกว่าเดิม แต่หลายคนก็อาจจะตกใจว่ายกระดับสูงขึ้น แปลว่าโรคอันตรายมากขึ้นด้วยใช่ไหม ต้องบอกตรงนี้เลยว่า ไม่ใช่ โรคยังเหมือนเดิม

เพียงแต่กระจายไปไกลเท่านั้นเอง นอกจากนี้ การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่นี้ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องที่จะต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากยังไม่มีรายงานว่า มีผู้ป่วยคนไหนที่เสียชีวิตจากการป่วยเป็นโรคนี้โดยตรงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งต่างจากไข้หวัดนกที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

“ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ มีลักษณะการระบาดคล้ายกับไข้หวัดตามฤดูกาลทั่วไป คือ มีเชื้ออยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และมีอาการท้องเสียร่วมด้วย แพร่เชื้อโดยการไอ จามรดกันโดยตรง หรือหายใจเอาฝอยละอองเข้าไป หากอยู่ใกล้ผู้ป่วยในระยะ 5 เมตร ก็สามารถติดเชื้อได้

โดยมีกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้ที่เดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดในวงกว้าง และมีอาการไม่สบายหลังจากเดินทางกลับจากประเทศนั้นในช่วงเวลา 7-14 วัน ในระหว่างนี้ควรป้องกันตัวเองเบื้องต้นด้วยการสวมหน้ากากอนามัย เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อโรคได้ถึง 80% หรือใช้กระดาษทิชชู หรือผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกทุกครั้งที่ไอ จาม และควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที”

อย่างไรก็ตาม นพ. ยง ยังบอกอีกว่า เป็นที่น่าแปลกใจว่า ในปัจจุบันคนที่ใส่หน้ากากกลับเป็นคนที่ไม่ป่วย ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่ได้ช่วยลดการกระจายเชื้อโรค เพราะคนที่สมควรใส่หน้ากาก คือ ผู้ที่ป่วย นอกจากนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ทุกคนควรดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะสุขภาพที่ดีนั้น คือ เกราะป้องกันโรคร้ายได้ดีที่สุดนั่นเอง

ด้าน พญ.สุภาวดี เจียรกุล คณะทำงานด้านการแพทย์ สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กล่าวว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์การระบาดขึ้น ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก และเกิดเป็นความสนใจในวงกว้างถึงรายละเอียดของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่

ดังนั้น การจัดงานในวันนี้ จึงเป็นการเผยแพร่ความรู้ และสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนว่าไม่ควรตื่นตระหนกกับโรคดังกล่าว เพราะโรคนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะการที่เกิดระบาดไปทั่วนั้น เกิดจากการแพร่กระจายจากคนสู่คน ดังเช่นโรคทางเดินหายใจอื่นๆ นอกจากนี้เรายังสามารถป้องกันการแพร่กระจายได้ง่ายๆ เพียงแค่ดูแลสุขอนามัยของเราให้ดีเท่านั้น จึงหวังว่าผู้ที่มาร่วมฟังบรรยายพิเศษจะได้รับความรู้และนำไปถ่ายทอดต่อให้บุคคลใกล้ชิดได้อีกด้วย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จึงนำเคล็ดลับการล้างมืออย่างถูกวิธีมาฝาก เพียงเสียเวลา 30 วินาที หรือแค่ฮัมเพลง Happy birth day ในใจสัก 2 รอบขณะล้างมือ

แล้วทำตาม 7 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ เวลาล้างมือให้เอาฝ่ามือถูฝ่ามือ จากนั้นเอาฝ่ามือถูหลังมือ แล้วนำนิ้วมือถูซอกนิ้ว ต่อด้วยการเอาหลังนิ้วมือถูฝ่ามือ และถูนิ้วหัวแม่มือโดยรอบด้วยฝ่ามือ เอาปลายนิ้วถูขวางฝ่ามือ ปิดท้ายด้วยการเอามือถูรอบข้อมือ เพียงเท่านี้มือของคุณก็สะอาด ปลอดเชื้อแล้วค่ะ

นอกจากการล้างมืออย่างถูกวิธีแล้ว การป้องกันตัวเองจากเชื้อไวรัสและการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน…

สสส. จึงนำการดูแลตัวเองเบื้องต้นมาบอกต่อ ด้วยการ “ป้องกันตัวเอง ดูแลสังคม ไม่เป็นคนแพร่เชื้อ” แค่ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อไม่สบาย ไม่เห็นต้องอายใคร และไออย่างมีความรับผิดชอบภายใต้หน้ากากอนามัย เป็นการช่วยหยุดวงจรการแพร่เชื้อโรค เพราะการไอโดยใช้มือปิดปาก จะทำให้เชื้อติดอยู่ที่มือ เมื่อเอามือไปจับต้องสิ่งของ

เชื้อไวรัสก็จะติดอยู่ที่นั่น หากมีคนมาจับสิ่งนั้นต่อ ก็จะทำให้ได้รับเชื้อไป แต่หากไม่มีหน้ากากอนามัย ควรใช้กระดาษทิชชูและทิ้งในถังให้มิดชิด หรือหันหน้าเข้าหาบริเวณไหล่ตัวเอง

ไม่เพียงเท่านี้ การสวมหน้ากากอนามัย ก็ต้องสวมให้ถูกวิธี ด้วยการล้างมือให้สะอาดก่อนสวมหน้ากากอนามัย โดยคลุมทั้งจมูกและปาก ถ้าใช้หน้ากากแบบกระดาษควรเปลี่ยนวันละครั้ง แล้วทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิดอย่างมิดชิด หากใช้หน้ากากแบบผ้า สามารถใส่ซ้ำได้

แต่ต้องหมั่นทำความสะอาดโดยการซักและตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรคด้วย และเมื่อหน้ากากชำรุดหรือเปรอะเปื้อนควรเปลี่ยนผ้าชิ้นใหม่ทันที ซึ่งผู้ที่สนใจอยากได้หน้ากากอนามัย สามารถขอรับได้ที่สถานบริการสาธารณสุข หรือหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป

ยังไม่หมดเท่านี้ค่ะ สสส. ยังนำเคล็ดลับป้องกันหวัดระบาดมาฝากอีกด้วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ ต้องหลีกเลี่ยงการใกล้ชิด คลุกคลีกับคนอื่น และควรลางาน หรือหยุดเรียน 3 – 7 วัน ซึ่งเป็นระยะการแพร่โรค เมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ควรใช้ช้อนกลางทุกครั้ง และไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อน ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น

นอกจากนี้ต้องรักษาบ้านเรือนให้สะอาด เช็ดเครื่องเรือนและของใช้ในบ้าน โดยเฉพาะโทรศัพท์เป็นประจำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ด้วยผ้าชุบน้ำสบู่หรือผงซักฟอกเจือจาง และเช็ดซ้ำด้วยน้ำสะอาดหรือแอลกอฮอล์ล้างแผลค่ะ

จะเห็นได้ว่า “โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009” นั้น ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพียงคุณดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและรักษาสุขอนามัยให้ดีอยู่เสมอ เท่านี้คุณก็ปลอดภัยจากเจ้าไวรัสตัวนี้แล้วค่ะ