Skip to content
Home » News » วลาดีมีร์ ปูติน

วลาดีมีร์ ปูติน

วลาดีมีร์ ปูติน (รัสเซีย: Владимир Владимирович Путин; อังกฤษ: Vladimir Vladimirovich Putin) เป็นนักการเมืองชาวรัสเซียผู้ดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีคนที่สองและคนปัจจุบัน เช่นเดียวกับประธานพรรคยูไนเต็ดรัสเซียและประธานสภารัฐมนตรีสหภาพรัสเซียและเบลารุส เขารักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 เมื่อประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซินลาออกจากตำแหน่งในการเคลื่อนไหวอันน่าประหลาดใจ ปูตินชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2000 และในปี 2004 เขาได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นสมัยที่สอง ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2008

เพราะถูกจำกัดสมัยการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ปูตินจึงไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สาม หลังชัยชนะของผู้สืบทอดเขา ดมีตรี เมดเวเดฟ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 2008 เมดเวเดฟได้เสนอชื่อปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีของรัสเซีย ปูตินดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2008 ในเดือนกันยายน 2011 ปูตินและเมดเวเดฟตกลงกันว่าปูตินจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สามไม่ติดต่อกันในการเลือกตั้งปี 2012 ซึ่งเขาชนะรอบแรกเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2012

วลาดีมีร์ ปูติน
https://www.thaipost.net/main/detail/2068

วลาดีมีร์ ปูติน ได้รับชื่อเสียงว่านำพาเสถียรภาพทางการเมืองระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา เศรษฐกิจรัสเซียเติบโตขึ้นเก้าปีต่อเนื่อง เห็นได้จากจีดีพีแบบอำนาจซื้อ เพิ่มขึ้น 72% (หกเท่าในราคาตลาด) ความยากจนลดลงมากกว่า 50%และค่าจ้างรายเดือนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 80 เป็น 640 ดอลลาร์สหรัฐ ความสำเร็จนี้คาดว่ามาจากการจัดการเศรษฐกิจมหภาค การปฏิรูปนโยบายการคลังอย่างสำคัญและประจวบกับราคาน้ำมันที่สูง การไหลบ่าเข้ามาของทุนและการเข้าถึงเงินทุนภายนอกราคาถูกเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน ซึ่งนักวิเคราะห์อธิบายว่า น่าประทับใจ

ระหว่างดำรงตำแหน่ง ปูตินผ่านกฎหมายปฏิรูปขั้นพื้นฐานหลายฉบับ รวมทั้งภาษีเงินได้อัตราเดียว การลดภาษีกำไร และประมวลที่ดินและกฎหมายใหม่เขาทุ่มเทความพยายามอย่างมากในการพัฒนานโยบายพลังงานของรัสเซีย โดยยืนยันตำแหน่งของรัฐเซียเป็นอภิมหาอำนาจด้านพลังงาน ซึ่งรวมถึงการฟื้นฟูอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ในประเทศและการริเริ่มการก่อสร้างท่อส่งออกหลักหลายแห่ง รวมทั้งเอสโปและนอร์ดสตรีม เช่นเดียวกับเมกะโปรเจกต์อื่น ๆ ในรัสเซีย

ขณะที่การปฏิรูปและพฤติการณ์หลายอย่างระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีถูกวิจารณ์โดยผู้สังเกตการณ์ตะวันตกและผู้ต่อต้านภายในประเทศว่าไม่เป็นประชาธิปไตย การดูแลการฟื้นฟูระเบียบและเสถียรภาพของปูตินทำให้เขาได้รับความนิยมในสังคมรัสเซีย ปูตินมักสนับสนุนภาพลักษณ์ชายทรหดในสื่อ โดยแสดงความสามารถทางกายของเขาและเข้าร่วมในกิจกรรมวิสามัญหรืออันตราย เช่น กีฬาเอกซ์ตรีมและปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ป่า ปูตินเป็นนักยูโดและนักกีฬาแซมโบ เคยเป็นแชมป์เลนินกราดสมัยวัยเยาว์ ปูตินมีส่วนสำคัญในการพัฒนากีฬารัสเซีย ที่โดดเด่นคือ ช่วยให้นครโซชีชนะการประกวดเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2014 นอกจากนี้ นิตยสารฟอบส์ได้จัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกในปี 2013 ถึง 2015 โดยฟอบส์ได้อธิบายว่าเขาเป็น “บุรุษเพียงไม่กี่คนของโลกที่ทรงอิทธิพลพอจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ”

วลาดีมีร์ ปูตินในวัยเด็ก เป็นช่วงที่หนังสายลับได้รับความนิยมจึงเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับปูติน ในสมัยนั้นมีอาชีพอยู่เพียงสองประเภทที่สามารถเป็นสายลับได้คือต้องเป็นทหารหรือจบนิติศาสตร์

วลาดีมีร์ ปูตินได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเลนินกราด สาขานิติศาสตร์ จบมาเขาได้ทำงานกับหน่วยสายลับได้ประจำหน่วยข่าวกรองสายลับและได้ถูกส่งไปประจำที่ประเทศเยอรมนีตะวันออก ภายหลังสหภาพโซเวียตล่มสลายเขาจึงลาออกจากเคจีบี แล้วกลับไปอยู่กับอาจารย์ที่ชื่อว่า ดร. อนาโตลี ซับซัค และช่วยหาเสียงจน ดร. อนาโตลี ซับซัคได้เป็นผู้ว่าการเลนินกราด เมื่อ ดร.อนาโตลี ซับซัค ไม่ได้รับเลือกตั้ง โดนข้อหาทุจริต แล้วปูตินเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ยอมทิ้งอาจารย์ไป ได้หาข้อมูลมาช่วยอาจารย์จนพ้นความผิด

ต่อมาเพื่อนร่วมรุ่นมาชวนปูตินไปทำงานในทำเนียบประธานาธิบดีเยลซินในกรุงมอสโก จึงได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยบอริส เยลต์ซิน เป็นประธานาธิบดี ต่อมาเยลต์ซินได้ลาออกแล้วให้ปูตินมารักษาการณ์แทน แล้วปูตินก็ได้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของรัสเซีย เพราะบอริส เยลต์ซินเป็นคนแนะนำ ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ในวันที่ 14 มีนาคม 2004

ต่อมา เดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 นิตยสารไทม์ได้เลือกให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี 2007 ด้วยเหตุผลว่าเขามีความเป็นผู้นำซึ่งเปลี่ยนความวุ่นวายในรัสเซียให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยนิตยสารไทมส์ ได้ขนานนามแก่ปูตินว่าเป็น “ซาร์แห่งรัสเซียใหม่” แม้ว่าปูตินจะสละตำแหน่งประธานาธิบดีให้แก่ ดมีตรี เมดเวเดฟแล้วก็ตาม แต่ปูตินก็ยังคงมีอำนาจและได้รับความนิยมอยู่

ปูตินสมรสกับชาวเลนินกราดนามว่า ลุดมินา ชเกรบเนวา (Людми́ла Шкребнева) ในวันที่ 28 กรกฎาคม 1983 และทั้งสองได้ใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนีตะวันออกด้วยกันระหว่างปี 1985 ถึง 1990ทั้งสองมีลูกสาวสองคน คือ มารียา ปูตีนา เกิดในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และ เยกาเจรีนา ปูตีนา เกิดในเดรสเดินต่อมาในวันที่ 6 มิถุนายน 2013 ปูตินได้ออกมาแถลงว่า ชีวิตคู่ของเขาทั้งสองได้จบลงไปแล้ว ซึ่งทางทำเนียบเครมลินได้ออกมายืนยันในวันที่ 1 เมษายน 2014 ว่ากระบวนการหย่าได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์

ปูตินเริ่มการทำงานในหน่วยเคจีบี (KGB) ในปี 1975 เมื่อจบการศึกษา โดยเข้ารับการฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งปีที่ โรงเรียนเคเกเบในออตา เลนินกราด อย่างไรก็ตาม ในรายงานการประเมินผลจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยได้ระบุว่าปูตินนั้นมีข้อบกพร่อง ว่าเขานั้นเป็นคนไม่เข้าสังคมและมีสัญชาติญาณต่อภัยอันตรายต่ำ ต่อมาไปทำงานเป็นระยะเวลาสั้นๆที่กรมหลักที่สองแห่งคณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐ (หน่วยราชการลับฝ่ายโต้ตอบ) ก่อนที่ต่อมาจะย้ายไปยังกรมหลักที่หนึ่งฯ ซึ่งเขามีหน้าที่ที่จะต้องเฝ้าจับตามองชาวต่างประเทศและเจ้าหน้าที่กงสุลในเลนินกราด

ระหว่างปี 1985 ถึง 1990 ปูตินได้เป็นเจ้าหน้าที่ KGB ที่ประจำการในเดรสเดิน เยอรมนีตะวันออก ในช่วงนั้น ปูตินได้ถูกมอบหมายให้สังกัดกรม S: หน่วยข่าวกรองและราชการลับสิ่งผิดกฎหมาย และเพื่อปกปิดตัวตนของเขา เบื้องบนจึงได้ระบุให้เขามีอาชีพเป็นล่าม หนึ่งในงานของปูตินคือการทำงานร่วมกับกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐของเยอรมนีตะวันออก ในการติดตามและสรรหาชาวต่างประเทศในเดรสเดินเพื่อรับเข้าเป็นบุคลากร คนที่เขาหาได้โดยส่วนมากเป็นคนที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเดรสเดิน จุดประสงค์การสรรหาคนก็เพื่อส่งคนเหล่านี้ไปเป็นสายลับในสหรัฐอเมริกา จากการที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนีถึง 15 ปีนี้เองทำให้ปูตินสามารถพูดภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่ว

เมื่อกำแพงเบอร์ลินพังทลายลง มีนักสิทธิมนุษยชนเดินขบวนประท้วงมายังอาคารของ KGB ในเบอร์ลิน ปูตินได้เผาทำลายเอกสารของ KGB และยื่นขอคำสั่งเร่งด่วนไปยังผู้บังคับบัญชาในกรุงมอสโก ซึ่งเขาก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า “มอสโกได้แต่เงียบ”เมื่อรัฐบาลเยอรมนีตะวันออกล่มสลาย ปูตินก็ถูกเรียกตัวกลับไปอยู่ที่เลนินกราดในสหภาพโซเวียต ที่ซึ่งในปี 1991 เขาได้ควบตำแหน่งในภาควิชากิจการต่างประเทศของมหาวิทยาลัยเลนินกราด ตามบันทึกของรองอธิการบดี ยูรี มอลคานอฟ ด้วยตำแหน่งใหม่นี้ ปูติดคอยจับตามองเหล่านักศึกษาที่มีแววเพื่อเฟ้นหาคนเข้าสังกัด และในช่วงนี้เองที่เขาได้พบกับ อนาโตลี ซ็อบจัก ซึ่งเป็นอดีตอาจารย์ของเขาอีกครั้งซึ่งกำลังดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเลนินกราด

ปูตินลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงขณะดำรงยศ พันโท ในวันที่ 20 สิงหาคม 1991 วันที่สองระหว่างความพยายามรัฐประหารเพื่อล้มล้างรัฐบาลของประธานาธิบดี มีฮาอิล กอร์บาชอฟซึ่งหน่วย KGB ก็ร่วมสนับสนุนการรัฐประหาร ปูตินได้อธิบายเหตุผลการลาออกของเขาว่า “ทันทีที่รัฐประหารเริ่มขึ้น ผมก็ตัดสินใจทันทีว่าจะอยู่ข้างไหน” และในปี 1999 ปูตินก็ได้อธิบายว่าลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นเป็น “ทางตันที่ไกลจากกระแสหลักของความศิวิไลซ์”

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%8C_%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99