Skip to content
Home » News » สงครามอัฟกานิสถาน มีความเป็นมาอย่างไร

สงครามอัฟกานิสถาน มีความเป็นมาอย่างไร

สงครามอัฟกานิสถาน
https://www.bbc.com/thai/international-51696855

สงครามอัฟกานิสถาน มีความเป็นมา คือ สงครามนี้เริ่มขึ้นเมื่อสหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางอากาศในช่วง 1 เดือน หลังจากเกิดเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2001 หลังจากที่ตาลีบันไม่ยอมส่งมอบตัวนายโอซามา บิน ลาเดน ผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีให้สหรัฐฯ 

สหรัฐฯ พร้อมกับกองกำลังผสมนานาชาติ ได้กำจัดกลุ่มตาลีบันออกจากการปกครองอัฟกานิสถานอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาได้ผันตัวไปเป็นกองกำลังติดอาวุธ และยังคงก่อเหตุโจมตีรุนแรงอย่างต่อเนื่อง สั่นคลอนความมั่นคงของรัฐบาลต่าง ๆ ของอัฟกานิสถานในเวลาต่อมา

สงครามอัฟกานิสถาน กองกำลังผสมนานาชาติ ได้ยุติปฏิบัติการสู้รบในปี 2014 และคงกำลังไว้เพื่อฝึกหัดกองกำลังของอัฟกานิสถานเท่านั้น แต่สหรัฐฯ ยังคงปฏิบัติการสู้รบขนาดเล็ก รวมถึงการโจมตีทางอากาศต่อไป 

กลุ่มตาลีบันยังคงรักษากองกำลังและอิทธิพลไว้ได้ โดยบีบีซีพบว่า ในปี 2017 พวกเขายังคงปฏิบัติการในพื้นที่ 70% ของอัฟกานิสถาน 

มีสมาชิกของกองกำลังผสมนานาชาติเกือบ 3,500 นาย เสียชีวิตในอัฟกานิสถาน ตั้งแต่การบุกในปี 2001 

ส่วนตัวเลขของพลเรือนอัฟกัน สมาชิกกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน และกองกำลังของรัฐบาลไม่สามารถระบุจำนวนที่ชัดเจนได้ ในรายงานเดือน ก.พ. 2019 สหประชาชาติ ระบุว่า มีพลเรือนมากกว่า 32,000 คน เสียชีวิต สถาบันวัตสัน (Watson Institute) ที่มหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) ระบุว่า มีบุคลากรด้านความมั่นคง 58,000 นาย และนักรบฝ่ายต่อต้าน 42,000 คน เสียชีวิต

ทำไมสงครามนี้จึงยืดเยื้อ

มีหลายเหตุผลสำหรับคำถามนี้ รวมถึงการต่อต้านอย่างดุเดือดของฝ่ายตาลีบัน ประกอบกับข้อจำกัดหลายประการของกองกำลังอัฟกานิสถานและการบริหารจัดการ การที่หลายชาติไม่สามารถที่จะคงกำลังทหารไว้ในอัฟกานิสถานเป็นเวลานานได้ 

ในช่วงเวลา 18 ปีที่ผ่านมา ตาลีบันถอยไปตั้งรับ ในช่วงปลายปี 2009 ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐฯ ประกาศจะ “เพิ่ม” กำลังทหาร ทำให้จำนวนทหารสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานเพิ่มเป็นสูงสุดถึง 100,000 นาย 

การเพิ่มกำลังทหารนี้ ช่วยผลักดันให้ตาลีบันออกไปอยู่ตามพื้นที่แถบตอนใต้ของอัฟกานิสถาน แต่กำลังทหารที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้ประจำการอยู่นานหลายปี 

ดาวุด อาซามี ของบีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส ระบุว่า มี 5 เหตุผลหลัก ที่ทำให้สงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึง:

  • การขาดความชัดเจนทางการเมือง นับตั้งแต่มีการบุกอัฟกานิสถาน และมีคำถามเกี่ยวกับประสิทธิผลของกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา
  • การที่แต่ละฝ่ายพยายามคุมเชิงกันอยู่ และตาลีบันได้พยายามที่จะขยายอิทธิพลของตัวเองในช่วงของการเจรจาสันติภาพ 
  • ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นจากฝีมือของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามในอัฟกานิสถาน โดยพวกเขาอยู่เบื้องหลังการโจมตีที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากหลายครั้งในช่วงไม่นานนี้

นอกจากนี้ ปากีสถาน เพื่อนบ้านของอัฟกานิสถาน ก็มีบทบาทสำคัญ 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตาลีบัน ได้แผ่ขยายเข้าไปในปากีสถาน พวกเขาสามารถที่รวมกลุ่มกันที่นั่นในช่วงที่สหรัฐฯ บุก แต่ปากีสถานปฏิเสธมาโดยตลอดว่า ไม่ได้ช่วยเหลือหรือคุ้มครองตาลีบัน แม้ว่า สหรัฐฯ จะเรียกร้องให้ปากีสถานดำเนินการต่าง ๆ มากขึ้นเพื่อต่อสู้กับสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ 

จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปใน สงครามอัฟกานิสถาน

ข้อตกลงที่เกิดขึ้น เป็นการเปิดประตูสู่การเจรจาระหว่างกลุ่มติดอาวุธตาลีบันและผู้นำทางการเมืองของอัฟกานิสถาน รวมถึงบุคคลจากฝ่ายรัฐบาล 

การเจรจานั้นจะมีความท้าทายมากขึ้นไปอีก โดยจะต้องมีการสมานฉันท์กันในเรื่องวิสัยทัศน์การเป็น “เอมิเรตอิสลาม” (Islamic Emirate) ของฝ่ายตาลีบัน และการเป็นอัฟกานิสถานที่เป็นประชาธิปไตยสมัยใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2001

สิทธิสตรีจะเป็นอยู่ตรงไหน ท่าทีของตาลีบันต่อประชาธิปไตยคืออะไร คำถามเหล่านี้จะตอบได้ก็ต่อเมื่อ “การเจรจากันภายในอัฟกานิสถาน” เริ่มขึ้นเท่านั้น

จนถึงตอนนี้ ตาลีบัน ก็ยังไม่มีความชัดเจน บางทีพวกเขาอาจจะจงใจให้เป็นเช่นนั้น มีอุปสรรคหลายประการที่อาจเกิดขึ้น ก่อนที่การเจรจาเหล่านี้จะเริ่มขึ้น ตาลีบัน ต้องการให้ปล่อยตัวนักโทษตาลีบัน 5,000 คน ก่อนที่จะเริ่มเจรจา ขณะที่รัฐบาลอัฟกานิสถานต้องการใช้นักโทษเหล่านี้เป็นหมากในการเจรจาต่อรอง เพื่อโน้มน้าวให้ตาลีบันยอมหยุดยิง 

นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในอัฟกานิสถาน เป็นผลมาจากนายอับดุลลาห์ อับดุลลาห์ คู่แข่งของนายอัชราฟ กานี กล่าวหาว่า มีการทุริตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมา ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองในอัฟกานิสถานอาจทำให้ ผู้สังเกตการณ์จากต่างชาติเข้ามาร่วมโต๊ะเจรจากับตาลีบันได้ยากขึ้น 

เจ้าหน้าที่ทางการอัฟกานิสถานคนหนึ่ง เปิดเผยกับ เซอคันดาร์ เคอร์มานี ผู้สื่อข่าวบีบีซี ประจำกรุงคาบูล ว่า แม้การเจรจา “ภายในอัฟกานิสถาน” จะเริ่มขึ้น ก็จะต้องใช้เวลานานหลายปี แต่สหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณแล้วว่า จะถอนกำลังทหารทั้งหมดภายใน 14 เดือน ถ้าตาลีบันทำตามข้อตกลง 

ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า ถ้ายังไม่มีการบรรลุข้อตกลงกันในการเจรจากันภายในอัฟกานิสถาน สหรัฐฯ จะคงกำลังทหารไว้หลังจากนั้นหรือไม่

เจ้าหน้าที่ทางการของอัฟกานิสถาน เน้นย้ำว่า การถอนทหาร “มีเงื่อนไข” แต่เจ้าหน้าที่การทูตคนหนึ่งกล่าวกับผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำกรุงคาบูลว่า การถอนทหารจะเกิดขึ้นเมื่อ “การเจรจากันภายในอัฟกานิสถาน” เริ่มต้นขึ้น ไม่ใช่สิ้นสุดลง เขาเน้นย้ำถึงความกังวลว่า ถ้าสหรัฐฯ ถอนกำลังทหารออกไป และตาลีบันตัดสินใจกลับไปสู้รบอีกครั้ง กองกำลังอัฟกานิสถานก็มีความเสี่ยงที่จะเสียหายอย่างรุนแรง 

นักวิเคราะห์หลายคน เตือนว่า ตาลีบัน ไม่ได้ระบุกับฝ่ายผู้สนับสนุนพวกเขาว่า การยินยอมต่าง ๆ ตามข้อตกลงที่ลงนามกันนั้น คือ “ชัยชนะ” ตาลีบันต้องการความชอบธรรมและการยอมรับจากนานาชาติ พิธีลงนามที่กลายเป็นข่าวใหญ่โตในกรุงโดฮาทำให้พวกเขาได้รับสิ่งนั้น และอาจจะรู้สึกว่า การเจรจาเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการทำให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับประชาชนชาวอัฟกันทั่วไป อย่างน้อยในระยะสั้นนี้ก็คือ ความรุนแรงที่ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด โดยปกติแล้วช่วงเวลาของ “ฤดูกาลสู้รบ” จะเริ่มขึ้นในช่วงเริ่มฤดูใบไม้ผลิเมื่ออากาศอบอุ่นขึ้น ดังนั้นในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ก็อาจจะได้คำตอบว่า ความรุนแรงจะลดลงหรือไม่