
สังหารหมู่ ‘6 ตุลา 2519’ มีคนมาล้อมมหาวิทยาลัยทั้งตำรวจ กำลังกึ่งทหารและประชาชนรวมประมาณ 8,000 คน และมีนักศึกษาอยู่ประมาณ 4,000 คน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ถูกล้อมไว้หมดทุกด้าน ตั้งแต่เวลา 3.00 น. ตำรวจตั้งกองบัญชาการที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อธิบดีกรมตำรวจประกาศเจตจำนงกวาดล้างมหาวิทยาลัยและจับผู้ต้องหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในเวลารุ่งสาง
พยานเล่าว่าเมื่อเวลา 5.30 น. มีการยิงลูกระเบิดเอ็ม79 ลงกลางสนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 คนและบาดเจ็บ 13 คน เชื่อว่าเป็นฝีมือของผู้ชำนาญอาวุธ และคาดว่าน่าจะเป็นสัญญาณเข้าตี ไม่นานจากนั้น ตำรวจภายใต้บังคับบัญชาของพลตำรวจโท ชุมพล โลหะชาละ รองอธิบดีกรมตำรวจ
ใช้อาวุธสงครามประกอบด้วย ปืนเล็กยาว (เช่น เอ็ม16), ปืนกลหนัก เอชเค 33, ปืนเอ็ม79, และปืนไร้แรงสะท้อน, ปืนครก ปืนอานุภาพสูงติดกล้องเล็งและปืนต่อสู้รถถัง ระดมยิงเข้ามาในมหาวิทยาลัยจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และด้านหน้าของมหาวิทยาลัยในลักษณะไม่เลือกหน้า
สังหารหมู่ ‘6 ตุลา 2519’ พันตำรวจโท สล้าง บุนนาค ตำแหน่งรองผู้กำกับการ 2 เป็นผู้นำตำรวจปราบจลาจล 200 นายเข้าไปในมหาวิทยาลัย เวลาประมาณ 5.40–6.00 น. สุธรรม แสงประทุม เลขาธิการ ศนท. พยายามติดต่อขอเข้าพบนายกรัฐมนตรี และโฆษกให้ผู้ชุมนุมเข้าไปในตึกบัญชีและตึกคณะวารสารฯ 6.00 น.
การขนส่งผู้บาดเจ็บทางเรือถูกตำรวจสกัดไว้ และตำรวจและกระทิงแดงยิงปืนมาจากตลิ่งอีกฝั่ง เวลา 7.00 น. ผู้ชุมนุมบางส่วนเล็ดรอดออกไปได้ แต่หลังจากนั้นประตูถูกปิดตาย แม้มีคำขอเปิดทางให้หญิงและเด็กแต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยินยอม มีกลุ่มคนไม่แต่งเครื่องแบบขับรถโดยสารประจำทางชนประตูใหญ่และตำรวจเร่งรุดเข้าไปในมหาวิทยาลัย
สุธรรมและผู้แทน ศนท. รวมทั้งนักแสดงในละครล้อในวันที่ 4 ตุลาคมออกมาในรถพยาบาลและขึ้นรถตำรวจ ตำรวจปฏิเสธคำขอพบนายกรัฐมนตรีและทั้งหมดถูกจับกุม โฆษกเวทีที่ประกาศยอมจำนนถูกยิงด้วยปืนเอ็ม16 พลตำรวจโทชุมพลอนุญาตให้ยิงเสรีในมหาวิทยาลัย ในเวลาประมาณ 7.30 น. จนถึงเวลา 8.00 น.
ตำรวจรุกเข้ามาในสนามฟุตบอล และยิงใส่ตึก อมธ. ตึกคณะวารสารฯ และตึกบัญชี แล้วนำกำลังเข้ายึด เวลา 7.45 น. มีนักศึกษาจำนวนหนึ่งหนีกระสุนปืนโดยปีนรั้วมหาวิทยาลัยออกไป จนถูกกลุ่มคนที่อยู่ภายนอกรุมประชาทัณฑ์ ฝูงชนที่อยู่ตามดาดฟ้าเชียร์ตำรวจโดยบอกว่านักศึกษาไม่มีอาวุธหนัก
มีเจ้าหน้าที่ใช้กำลังปราบปรามต่อนักศึกษาที่หนีลงแม่น้ำเจ้าพระยา สำหรับผู้ที่ขึ้นฝั่งบริเวณท่าพระจันทร์และไปหลบตามบ้านเรือนราษฎรได้ก็ถูกตามจับตัวได้กว่า 1,000 คน นักศึกษาที่หนีลงแม่น้ำเจ้าพระยาจมน้ำเสียชีวิตหลายคน วิมลวรรณ รุ่งทองใบสุรีย์ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ถูกยิงขณะพยายามว่ายน้ำเข้าสู่ที่ปลอดภัย นักศึกษาที่หนีขึ้นฝั่งได้และหลบอยู่ตามอาคารต่าง ๆ ถูกบังคับให้ยอมมอบตัว มิฉะนั้นตำรวจจะยิงปืนใส่ร้านอย่างไม่เลือก
นีล อูเลวิชเล่าว่าเสียงกระสุนกว่าร้อยละ 90 มีทิศทางไปยังนักศึกษา พฤติกรรมโหดร้ายทารุณของตำรวจในวันนั้น เช่น การทำร้ายฆ่าฟันนักศึกษาที่กำลังหนีหรือว่ายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา หรือที่ยอมจำนนแล้ว หรือถูกมัดมือแล้ว ไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลเสนีย์มีอำนาจมากน้อยเพียงใดในวันนั้น
เสนีย์แถลงข่าวเมื่อเวลาประมาณ 9.30 น. ว่าตำรวจจะเลือกใช้วิธีใดในการปราบปรามนั้นขึ้นอยู่กับตำรวจ ในเดือนตุลาคม 2537 พันตำรวจตรี มนัส สัตยารักษ์ เขียนว่า ตำรวจใช้กำลังเกินกว่าเหตุทั้งการใช้อาวุธและการควบคุมนักศึกษา “ตำรวจที่อยู่รอบนอก [มหาวิทยาลัย]
ใช้อาวุธปืนประจำตัวยิงเข้าไปในมหาวิทยาลัยโดยไม่ได้หวังผลอะไรมากไปกว่าสร้างความพอใจให้แก่ตัวเอง” และตำรวจบางนายไม่เห็นด้วยกับวิธีการปราบปรามในวันนั้น เขายังเล่าว่าเขาถ่ายทอดคำสั่งให้หยุดยิงขอพลตำรวจตรี วิเชียร แสงแก้ว แล้ว แต่ตำรวจตระเวนชายแดนไม่ยอมหยุด เขาเห็นว่าการปราบปรามครั้งนี้เห็นจะเป็นเรื่องส่วนตัว
สังหารหมู่ ของกลุ่มลูกเสือชาวบ้านและกระทิงแดง
กลุ่มกึ่งทหาร ได้แก่ ลูกเสือชาวบ้านและกระทิงแดงจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยพร้อมกับตำรวจเพื่อเข้าทำร้ายนักศึกษา ในลักษณะทำงานร่วมกับตำรวจและตำรวจมิได้ห้ามปราม หลายคนมีบทบาทโดยตรงในการทำร้ายฆ่าฟัน เช่น แขวนคอ เผาทั้งเป็น ทุบตีจนตาย และยังรวมถึงการทำลายศพ เช่น ตอกไม้ ใช้ไม้ทำอนาจารศพหญิง หรือปัสสาวะรด หญิงคนหนึ่งถูกเปลื้องผ้าและยิงปืนใส่หลายครั้ง
นักศึกษาจำนวนหนึ่งหนีกระสุนปืนโดยปีนรั้วมหาวิทยาลัยออกไปถูกกลุ่มคนที่อยู่ภายนอกรุมประชาทัณฑ์ ผู้ประท้วงที่หนีออกไปทางหน้าประตูมหาวิทยาลัยจำนวน 20 คนถูกลากไปแขวนคอทั้งที่ยังมีชีวิต และมีการนำศพมาเผากลางถนนราชดำเนิน
กลุ่มนี้พยายามลงประชาทัณฑ์นักศึกษาที่ตำรวจจับไว้แล้วที่สนามฟุตบอลแต่ตำรวจห้ามไว้และช่วยหญิงไว้ได้คนหนึ่ง มีการแขวนคอศพผู้ที่เสียชีวิตแล้วไว้กับต้นไม้ริมสนามหลวงแล้วเตะต่อย ทั้งถุยน้ำลายรดและตะโกนด่าสาปแช่ง
ศพของวัชรี เพชรสุ่นถูกเปลื้องผ้า นำไม้มาวางไว้ข้างศพให้เข้าใจว่าถูกไม้นั้นแทงอวัยวะเพศจนเสียชีวิต โดยมีคนอยู่รอบศพด้วยความพอใจ ธงชัยตั้งข้อสังเกตว่าชายปรากฏในภาพใช้เก้าอี้ฟาดศพ (ของอูเลวิช), ภาพการแขวนคอวิชิตชัยและภาพเผาศพ 4 ศพเป็นคนคนเดียวกัน
อาจเป็นสายลับที่ถูกส่งมาปลุกปั่นให้คนอื่นเลียนแบบตามหรือไม่ มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าผู้ที่ใช้วิธีการป่าเถื่อนกับศพนั้นน่าจะเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบหรืออดีตทหาร-ตำรวจที่ได้รับการฝึกจากอเมริกา ด้านพระกิตติวุฒิโฑไล่นักศึกษาที่เข้าไปหลบในวัดมหาธาตุออกนอกเขตวัดไปให้ตำรวจจับ
เวลาประมาณ 11.00 น. นักศึกษาและประชาชนผู้ร่วมชุมนุมทั้งชายหญิงราว 1,000 คนถูกบังคับให้ถอดเสื้อนอนลงกับพื้น ส่วนผู้หญิงให้ถอดเหลือแต่ยกทรง บังคับให้คลานไปตามพื้นสนามหญ้า ทั้งถูกเตะต่อยและรุมทำร้าย เช่นเดียวกับมีการนำศพมาวาง
กลุ่มฝ่ายขวาปล้นทรัพย์สินส่วนตัวของนักศึกษา ตำรวจถอดพระเครื่องของนักศึกษา เพราะเป็นคอมมิวนิสต์ไม่คู่ควร แพทย์สามคน “กำลังรอคำสั่ง” แม้ผู้ประท้วงมีเลือดออกมากถึงสองชั่วโมง จากนั้นตำรวจยิงปืนกลข้ามหัวนักศึกษาเข้าไปในตึกคณะบัญชี
เย็นนั้น กลุ่มนวพลบางคนอวดเพื่อนว่า ตน “ล้วงผู้หญิงตามสบาย” ผู้ได้รับบาดเจ็บในวันนั้นต้องรอการรักษาพยาบาลเป็นเวลานาน ส่วนผู้ที่ถูกจับต้องรอหลายวัน
สุธรรมเล่าว่าตนถูกตำรวจรั้งตัวไว้ขณะเดินทางเพื่อไปเจรจากับนายกรัฐมนตรี ตำรวจไปส่งที่จวนนายกรัฐมนตรีแต่ไม่ได้เข้าพบ จนสุดท้ายตำรวจนำตัวสุธรรมเข้าที่คุมขังทันทีซึ่งน่าจะเป็นช่วงหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สุดท้ายการเจรจาระหว่าง ศนท. กับนายกรัฐมนตรีจึงไม่เกิดขึ้น
หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ผ่านไปแล้ว ช่วงบ่ายมีลูกเสือชาวบ้านและตำรวจจะเข้าไปทำร้ายป๋วย อึ๊งภากรณ์ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยพันตำรวจโท สล้าง บุนนาคที่เดินทางไปยังท่าอากาศยานดอนเมืองโดยไม่มีคำสั่งตบหูโทรศัพท์ของป๋วย จากเหตุการณ์ ตำรวจพบอาวุธของผู้ชุมนุมเพียงปืนเล็กยาว 2 กระบอกเท่านั้น ไม่มีอาวุธหนัก
นักศึกษาและประชาชนที่รอดชีวิต 3,094 คนถูกจับกุมภายในวันนั้น ถูกนำตัวไปคุมขังที่โรงเรียนตำรวจนครบาลบางเขน ที่จังหวัดนครปฐมและชลบุรี ผู้ถูกจับกุมเกือบทุกคนถูกตำรวจรุมซ้อมเมื่อมาถึงสถานที่คุมขัง
นอกจากนี้ ยังมีพยานว่าตำรวจเรียกผู้ถูกจับกุมว่า “เชลย” อันสื่อว่า ตำรวจกำลังทำสงครามกับนักศึกษา ส่วนใหญ่ได้รับประกันตัวในสัปดาห์ถัดมา
ตัวเลขอย่างเป็นทางการบ่งว่า มีผู้เสียชีวิต 46 คน และบาดเจ็บ 167 คน ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขณะนั้น ให้ตัวเลขประมาณผู้เสียชีวิตอย่างไม่เป็นทางการกว่า 100 คน โดยอิงแหล่งข้อมูลนิรนามในสมาคมจงหัวแห่งประเทศไทย (Chinese Benevolent Association)
ซึ่งกำจัดศพ ภัทรภร ภู่ทอง นักวิจัย ระบุว่า ในบรรดาผู้เสียชีวิตจากไฟล์ชันสูตรพลิกศพ มีจำนวน 45 คน ไม่มีการกล่าวถึงชาวเวียดนามจำนวน 10 คน และทราบว่ามีผู้เสียชีวิตถูกแขวนคอ 4 คน แต่อาจมากกว่านั้น ทราบชื่อได้แก่ วิชิตชัย อมรกุล และปรีชา แซ่เฮีย มีรายงานว่าช่างภาพยูไนเต็ดเพรสอินเตอร์เนชันแนลเสียชีวิต
มีนักศึกษาแพทย์และพยาบาลที่เป็นสมาชิกหน่วยอาสาสมัคร “พยาบาลเพื่อมวลชน” ถูกฆ่าตาย 5 คน การกระทำดังกล่าวขัดต่อกฎการศึกอนุสัญญาเจนีวา อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผู้เสียชีวิตจริงสูงกว่านี้ ข้อมูลของมูลนิธิร่วมกตัญญูระบุว่าผู้ประท้วงและประชาชนเสียชีวิตกว่า 500 คน และมีมูลค่าความเสียหายทรัพย์สินกว่า 50 ล้านบาท
พยานนายตำรวจนายหนึ่งเชื่อว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 70 คน พยานนักศึกษาและอดีตกระทิงแดงเห็นศพที่ถูกแขวนคอ “เป็นสิบ ๆ คน” วิโรจน์ มุทิตานนท์ อดีตช่างภาพ ไทยรัฐ มองว่า “คือการเข่นฆ่าคนที่ไร้ทางสู้ … เป็นการปิดประตูตีแมว” นิตยสารไทม์ อธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็น “ฝันร้ายของการลงประชาทัณฑ์และการเผา”