สาเหตุจ้างวานฆ่า จากที่เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลมีนบุรี ได้พิพากษาคดีฆ่านายจักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย โดยศาลจังหวัดมีนบุรี มีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ,นายมานพ (บิดานายจักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม) โจทก์ร่วม,
นางบุญคิด มารดานายจักรกฤษณ์ ผู้ร้อง ยื่นฟ้อง นายจิรศักดิ์ หรือจี กลิ่นคล้าย จำเลยที่ 1, น.ส.สุรางค์ ดวงจินดา จำเลยที่ 2, น.ส.นิธิวดี หรือนิ่ม ภู่เจริญยศ จำเลยที่ 3 ,นายสันติ หรือ อี๊ด ทองเสม จำเลยที่ 4 ,นายธวัชชัย หรือ อ้น เพชรโชติ จำเลยที่ 5 เรื่องความผิดต่อชีวิต ,ความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ,ลหุโทษ และขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 4.4 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ

สาเหตุจ้างวานฆ่า
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งห้าแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ผู้ตาย (เอ็กซ์ จักรกฤษณ์) อยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยที่ 3 (หมอนิ่ม) มีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาวันที่ 19 ต.ค . 2556 นายจักรกฤษณ์ ถูกคนร้ายร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงจนถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
โจทก์มี น.ส. วรพรรณภูรีหรือแหม่ม มนตรีอารีกุล เบิกความเป็นพยานยืนยันว่า เป็นลูกค้าคลินิกรักษาสุขภาพความงามของจำเลยที่ 3 และรู้จักจำเลยที่ 3 มานาน 9 ปี ต่อมาประมาณต้นปี 2556
พยานทราบจากสื่อโทรทัศน์ว่า ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 มีการร้องทุกข์ดำเนินคดีและขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณา จึงพูดคุยทางโทรศัพท์เคลื่อนที่กับจำเลยที่ 3 ซึ่งปรึกษาขอให้หาคนมาช่วยปรามผู้ตายไม่ให้ทำร้ายจำเลยที่ 3 และช่วงเดือนสิงหาคม 2556 นายฐปนวัฒน์ จิ้วไม้แดง ญาติของพยานพาจำเลยที่ 4 มาช่วยติดตามหนี้ให้
ระหว่างทางจำเลยที่ 3 โทรศัพท์หาพยาน จึงชักชวนนายฐปนวัฒน์ กับจำเลยที่ 4 ไปพบจำเลยที่ 3 ที่โรงพยาบาลเสรีรักษ์ในช่วงบ่าย จำเลยที่ 3 พักรักษาในห้องผู้ป่วยพิเศษ พยานแนะนำจำเลยที่ 3 ให้รู้จักกับนายฐปนวัฒน์ และจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 3 นั่งโซฟาคุยกับนายฐปนวัฒน์และจำเลยที่ 4 พยานเห็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท รวม 6 มัด ประมาณ 6 แสนบาท วางอยู่ที่บริเวณโต๊ะภายในห้อง
จำเลยที่ 3 บอกนายฐปนวัฒน์กับจำเลยที่ 4 ให้ช่วยจัดการผู้ตายให้หน่อย และใช้เวลาพูดคุยประมาณ 10 นาทีเสร็จ แล้วจำเลยที่ 4 เก็บเงินบนโต๊ะใส่ซองสีน้ำตาล จำเลยที่ 3 บอกกับนายฐปนวัฒน์และจำเลยที่ 4 ว่า ผู้ตายใช้รถยนต์ยี่ห้อปอร์เช่ สีดำ หมายเลขทะเบียน ก 2223
น.ส. วรพรรณภูรี ยังเบิกความอีกว่า เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งกับตนเองว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด และตำรวจขอให้ช่วยเหลือจำเลยที่ 3 พยานจึงให้การในชั้นสอบสวนไปตามที่ถูกขอร้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้จ้างวานฆ่าผู้ตาย โดย น.ส.วรพรรณภูรี และจำเลยที่ 4 เดินทางไปบ้านของจำเลยที่ 2 เพื่อรับเงิน 6 แสนบาท
ศาลเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ได้จากคำเบิกความของ น.ส.วรพรรณภูรี ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ถ้อยคำที่ได้มีลักษณะซัดทอดผู้กระทำความผิดอื่นด้วยกัน และมีการเปลี่ยนข้อเท็จจริงหลายครั้งตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมาเบิกความต่อศาลในชั้นพิจารณา การพิจารณารับฟังพยานโจทก์ปากนี้จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังและต้องพิจารณาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือ

โจทก์ ยังมี พ.ต.อ. นพศิลป์ พูนสวัสดิ์ เป็นพยานเบิกความว่า พยานได้รับคำสั่งให้ร่วมสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายคดีนี้ ได้กำหนดประเด็นความขัดแย้งหลายประการ แต่เมื่อได้สอบพยานผู้เกี่ยวข้องและรวบรวมหลักฐานต่างๆ แล้ว จึงสรุปได้ว่าความขัดแย้งที่นำไปสู่การสังหารผู้ตายเกิดจากความขัดแย้งในครอบครัว ซึ่งในประเด็นดังกล่าวโจทก์มี น.ส.โชติกาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ผู้ตายคบหามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับพยาน ผู้ตายเคยพาพยานไปที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3 จนเป็นที่ไม่พอใจของจำเลยที่ 3 ผู้ตายเคยพาพยานมาค้างที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3 ผู้ตายนัดหมายให้พยานมาพบในวันที่ 11 ก.ค 56
เนื่องจากผู้ตายมีนัดถ่ายทำรายการกีฬา แต่พยานไม่อยากมา ผู้ตายโทรตามจนพยานมาที่บ้านและถูกผู้ตายทำร้ายและทำลายทรัพย์สินแล้วพาไปสนามกีฬาเพื่อถ่ายทำรายการ ส่วนจำเลยที่ 3 ขับรถอีกคันตามไป
ระหว่างที่ผู้ตายถ่ายทำรายการให้พยานนั่งเฝ้ากระเป๋าเงินและทรัพย์สิน พยานรู้สึกหิวน้ำกำลังจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงิน จำเลยที่ 3 เห็นจึงเข้าไปด่าว่าพยานจนไม่กล้าหยิบเงิน เมื่อพักถ่ายรายการจำเลยที่ 3 เข้าไปฟ้องผู้ตายว่า พยานจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงินของผู้ตาย แต่กลับถูกผู้ตายไม่พอใจผลักศีรษะของจำเลยที่ 3 และยังท้าทายจำเลยที่ 3 อีกว่าหากไม่พอใจเลิกกัน เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 มีสีหน้าไม่พอใจ
ศาลเห็นว่า เหตุการณ์ที่ผู้ตายกระทำต่อจำเลยที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นการพาผู้หญิงอื่นมาค้างที่บ้าน, การไม่ให้เกียรติจำเลยที่ 3 ผลักศีรษะจำเลยที่ 3 และท้าทายให้เลิกกันต่อหน้าผู้หญิงอื่นซึ่งมีความสัมพันธ์กับผู้ตาย ย่อมสร้างความขุ่นเคืองและนับเป็นฟางเส้นสุดท้ายต่อความอดกลั้นและอดทนต่อพฤติกรรมของผู้ตายที่มีปัญหาติดยาเสพติด ความเจ้าชู้ และใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายและจิตใจจำเลยที่ 3 ดังจะเห็นลำดับเหตุการณ์ว่า หลังจากนั้น จำเลยที่ 3 พามารดาผู้ตาย ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยที่ 3 ถูกผู้ตายทำร้ายร่างกายจนมีการนำหมายค้นไปตรวจค้นที่บ้านของผู้ตายและพบการกระทำความผิดอื่นอันนำไปสู่การออกหมายจับและมีการควบคุมตัวผู้ตาย