
ออกหมายจับลุงพล หลังจากผ่านไป 1 ปีเต็ม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวในวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ว่า “คดีน้องชมพู่ยังไม่จบ แต่เรามีคำตอบให้แน่นอน ช้าเร็วอยู่ที่เรา และผมเชื่อว่ามีคำตอบที่สังคมพอใจแน่ เอาอย่างนี้แล้วกัน” โดยมีรายงานว่าตำรวจค้นพบเส้นขนจำนวน “3 เส้น” อยู่ในจุดที่เกิดเหตุ โดยหลังจากตรวจ DNA แล้ว สามารถชี้ชัดได้ว่า ใครที่อยู่ใกล้ชิดกับน้องชมพู่ในวันนั้น
และเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ตำรวจออกหมายจับ “ลุงพล” ว่ามีความเกี่ยวพันกับคดีนี้จริง ออกหมายจับลุงพล โดยแจ้ง 3 ข้อหาได้แก่
- พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร
- ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย
- กระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
โดยในข้อหา ไม่มีข้อไหนที่บ่งบอกว่าลุงพลทำการฆาตกรรม แต่เป็นการชี้ข้อหา ว่าลุงพลคือผู้ต้องสงสัยที่อาจจับตัวน้องชมพู่ไปปล่อยในป่า จนส่งผลให้น้องเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งแม้จะไม่ใช่การทำฆาตกรรมโดยตรง แต่เป็นการส่งผลให้เด็กถึงแก่ชีวิตทางอ้อม
อย่างไรก็ตาม ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความส่วนตัวของลุงพลกล่าวว่า “อยากถามไปยังตำรวจว่า หลักฐานสำคัญอย่าง เส้นขน 3 เส้น โผล่มาจากไหน ในเมื่อคดีผ่านมาเป็นปีแล้ว อยากให้ตำรวจชี้แจงว่าได้หลักฐานนี้มาตั้งแต่แรก แต่ไม่ได้เอามาเป็นหลักฐาน อย่างนั้นหรือไม่”
“ถ้าหากหมายจับมาที่ ลุงพล ผมก็จะทำตามหน้าที่ของทนาย ก็เดินหน้าประกันตัวสู้คดี ส่วนตัวไม่ได้กังวลอะไร จริงๆ ในอีกแง่มุมหนึ่งการนำคดีเข้าสู่ประบวนการยุติธรรม ย่อมดีกว่าการออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ และผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไป เรื่องนี้ศาลยุติธรรม จะเป็นผู้ตัดสินว่าใครกระทำความผิด”
พ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช ฉายาสารวัตรแรมโบ้ อดีตผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดอำนาจเจริญ และอดีตสารวัตรกองปราบนครบาล ออกมาให้ความเห็นว่า คดีดังกล่าวตนเชื่อว่าคนร้ายเป็นเครือญาติของน้องชมพู่ ส่วนเส้นขนไม่มีอะไรจะเปลี่ยนทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ได้ เพราะเส้นขน 3 เส้นที่เจอบนศพเด็กจะชี้ชัดว่าคน ๆ นั้นเชื่อมโยงไปถึงคนร้าย และมีความสนิทกับน้องชมพู่ ดังนั้น ผบ.ตร.จะมีคำตอบให้สังคมอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ความสำคัญ 6 บุคคลเข้าเครื่องจับเท็จ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ พระอาจารย์บุญมา เจ้าอาวาสวัดป่าภูผากเเอก บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ถือเป็นบุคคลที่ยืนยันว่าลุงพลมารับครูบารัตน์ และเป็นบุคคลที่ได้ยินลุงพลพูดว่า “น้องชมพู่หาย ส่งพระเสร็จจะกลับมาตามหา”
ขณะที่พ่อแบม หนึ่งในพยานที่เข้าเครื่องจับเท็จ ถือเป็นพยานปากเอกที่เห็นลุงพลไม่ได้อยู่สวนยางแม่น้องชมพู่ วันที่ 11 พ.ค.63 เวลา 09.15 น. มีข้อสังเกตว่าพยานรายนี้เคยให้สัมภาษณ์ว่า อาจจะจำเวลาคลาดเคลื่อน
ส่วนนางดอน แม่ครัววัดป่าภูผาแอก เคยให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 11 พ.ค.63 เห็นลุงพลมาวัด แต่เจ้าตัวจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้
นอกจากนี้ ครูบารัตน์ วัดป่าภูกะโล้น ยังเป็นพยานที่เดินทางร่วมกับลุงพล ไปที่วัดป่าภูกะโล้น
ทีมข่าวสอบถามข้อมูลจาก พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือ ผู้การแต้ม อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ว่าการที่พบเส้นขน 3 เส้น สื่อความหมายอย่างไรบ้าง และทำไมเส้นขนเพิ่งปรากฏ อาจจะเป็นการยัดหลักฐานเพิ่มเติมหรือไม่
พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า ต้องมาดูกันว่าเส้นขนนี้ได้มาตั้งแต่ตอนไหน หากได้มาตั้งแต่ตอนแรก ๆ ที่ทำคดี แสดงว่าหลักฐานมีจริง ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่า อยู่ในขั้นตอนการตรวจพิสูจน์ว่าเส้นขนนี้เข้ากับใคร ตนยอมรับว่ากระบวนการนี้ใช้เวลานานมากจริง ๆ บางคดีที่ตนทำ 5 ปีเพิ่งออกก็มี แต่จากประสบการณ์ของตน เส้นขนดังกล่าวอาจจะนำไปเป็นตัวบ่งชี้กับพยานหลักฐานอื่นก็ได้ อย่างสมัยก่อนตนทำคดีหนึ่งไม่เจอหลักฐานอะไรเลย ยกเว้นก้นบุหรี่ พอเอาไปตรวจ DNA เจอเป็นคนไหน ก็ต้องไปสืบอีกว่าคนนี้อยู่ไหนตอนเกิดเหตุ ปรากฏว่าจากพยานหลักฐานอื่นก็ชี้ชัดอีกว่าคนนี้อยู่ในที่เกิดเหตุ
กรณีที่เพิ่งเจอเส้นขน ตนคิดว่าค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เพราะคดีนานแล้ว แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะเจอได้ แต่จะต้องบ่งบอกที่มาให้ได้ว่าเจ้าหน้าที่ไปเจอได้อย่างไร เจอที่ไหน เพราะเส้นขนดังกล่าวถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญมาก ๆ แต่จะสามารถทำให้ศาลลงโทษได้หรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่ที่ศาลอีกว่าจะเชื่อถือหรือไม่
ส่วนที่มีข้อมูลบอกว่าเป็น DNA ทางสายแม่ ก็จะมีคุณตา คุณยาย ตัวแม่น้องชมพู่ และพี่น้องของแม่น้องชมพู่ เช่น ป้าแต๋น ตนยืนยันว่าตำรวจไม่มีทางยัดหลักฐานเพิ่มแน่นอน หากทำหลักฐานขึ้นมาเอง แล้วไปขัดกับหลักฐานชิ้นอื่น คนทำติดคุกแน่นอน เพราะฉะนั้นยัดหลักฐานไม่ง่าย ใครจะเสี่ยง อีกอย่างใครจะนำเส้นขนของคนอื่นมาได้ คดีนี้ไม่มีจับแพะแน่นอน หากจะทำแบบนั้น คงทำไปนานแล้ว แต่สาเหตุที่คดียืดเยื้อ เพราะเจ้าหน้าที่กำลังเก็บรวบรวมหลักฐานอย่างแน่นหนา เพื่อให้ศาลไม่ยกฟ้อง เพราะฉะนั้นแล้วช้าแต่ชัวร์ดีกว่า