Skip to content
Home » News » อุซามะห์ บิน ลาเดน จากลูกผู้รับเหมาสู่ผู้จุดไฟสงครามก่อการร้าย

อุซามะห์ บิน ลาเดน จากลูกผู้รับเหมาสู่ผู้จุดไฟสงครามก่อการร้าย

อุซามะห์ บิน ลาเดน จากลูกผู้รับเหมาสู่ผู้จุดไฟสงครามก่อการร้าย “เราคำนวณจำนวนผู้เสียชีวิตของศัตรูไว้ล่วงหน้า ผู้ที่จะถูกฆ่าจากจุดที่ตั้งของตึกสูง เราคำนวณแล้วว่าชั้นที่จะพุ่งชนมี 3 – 4 ชั้น ผมคือคนมองโลกแง่ดีที่สุดจากทั้งหมดทุกคน”

อุซามะห์ บิน ลาเดน กล่าวถึงเหตุวินาศกรรมช็อกโลกเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ‘9/11’ จุดเริ่มต้นที่ทำให้สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้ายไปทั่วโลก และชื่อของ บิน ลาเดน กลายเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในฐานะศัตรูหมายเลข 1 ของอเมริกา ที่มีค่าหัว 25 ล้านเหรียญสหรัฐ

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ลูกชายมหาเศรษฐีผู้รับเหมาก่อสร้างตระกูลดังแห่งซาอุดีอาระเบีย ยอมสละความมั่งคั่งมาจับมือกับกลุ่มตาลีบัน สร้างอาณาจักรรัฐที่ปกครองด้วยหลักศาสนาอย่างเคร่งครัดในอัฟกานิสถาน จนกลายเป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้ายหมายเลข 1 ของโลก

คำตอบอาจอยู่ที่เส้นทางชีวิตของชายผู้นี้ที่ชื่อ อุซามะห์ บิน ลาเดน (Osama bin Laden)

อุซามะห์ บิน ลาเดน จากลูกผู้รับเหมาสู่ผู้จุดไฟสงครามก่อการร้าย
https://board.postjung.com/909399

อุซามะห์ บิน ลาเดน จากลูกผู้รับเหมาสู่ผู้จุดไฟสงครามก่อการร้าย

อุซามะห์ บิน ลาเดน เกิดที่กรุงริยาดห์ ซาอุดีอาระเบีย ใน ค.ศ. 1957 เป็นลูกคนที่ 17 (ลูกชายคนที่ 7) จากจำนวนพี่น้องทั้งหมดมากกว่า 50 คน ซึ่งมีบิดาคนเดียวกันนามว่า มุฮัมมัด บิน ลาเดน

มุฮัมมัดเป็นชาวเยเมน ที่อพยพมาซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่ปี 1953 เขาเริ่มสร้างฐานะด้วยการทำงานที่เมืองเจดดาห์ เป็นเด็กแบกสัมภาระให้กับผู้แสวงบุญที่เดินทางไปนครมักกะฮ์ และเก็บหอมรอมริบจนสามารถตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างของตนเองขึ้นมา

ในทศวรรษ 1950s มุฮัมมัด บิน ลาเดน เริ่มเข้าไปใกล้ชิดกับราชวงศ์ซาอุดแห่งซาอุดีอาระเบีย ด้วยการสร้างวังให้กับบรรดาสมาชิกราชวงศ์ ก่อนได้งานทำนุบำรุงศาสนสถานสำคัญ รวมทั้งในนครศักดิ์สิทธิ์อย่างเมดินา และมักกะฮ์

ปี 1958 บริษัทของเขายอมขาดทุนเพื่อรับงานบูรณะศาสนสถานของชาวมุสลิมในนครเยรูซาเลม ทั้งโดมแห่งศิลาและมัสยิดอัลอักซอ ซึ่งอุซามะห์ บิน ลาเดน เคยเล่าด้วยความภูมิใจว่า บิดาของเขาเคยตระเวนเคารพศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ครบทั้ง 3 เมือง (เมดินา, มักกะฮ์, เยรูซาเลม) ภายในเวลาเพียง 1 วัน

ต่อมาในทศวรรษ 1960s กษัตริย์ไฟซัล ประกาศยกสัมปทานก่อสร้างทุกโครงการในราชอาณาจักรซาอุฯ ให้กับกลุ่มบริษัทบิน ลาเดน ทำให้สมาชิกครอบครัวทุกคนต้องมาช่วยงาน โดยในช่วงปิดเทอม เด็กชายอุซามะห์รับหน้าที่ดูแลโครงการก่อสร้างถนนสายต่าง ๆ ของบริษัท

ตระกูลบิน ลาเดน สูญเสียเสาหลักของครอบครัวในปี 1967 เมื่อมุฮัมมัดประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิต ทำให้หนูน้อยอุซามะห์กำพร้าพ่อตั้งแต่ 10 ขวบ แต่สมาชิกครอบครัวยังคงช่วยกันสานต่อธุรกิจ และลูกแต่ละคนได้รับส่วนแบ่งมรดกไปคนละหลายล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้กลายเป็นเศรษฐีกันตั้งแต่อายุยังน้อย

แม้เด็กชายอุซามะห์ (ภาษาอาหรับแปลว่า ‘สิงโต’) จะโตมาด้วยการวิ่งเล่นกับบรรดาเจ้าชายซาอุฯ และมีคอกม้าของตนเองตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่ผู้ใกล้ชิดกับครอบครัวนี้เล่าว่า อุซามะห์ดูเป็นเด็กแปลกแยกจากพี่น้องคนอื่น เขาเป็นลูกคนเดียวจากภรรยาคนที่ 4 ของมุฮัมมัด และเธอก็เป็นภรรยาคนเดียวที่ไม่ใช่ชาวซาอุฯ แต่มาจากซีเรีย ดังนั้น ครอบครัวจึงปฏิบัติกับเธอเยี่ยงทาส และอุซามะห์ก็คือ ‘ลูกทาส’ ดี ๆ นี่เอง

“มันต้องเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขา อุซามะห์เกือบจะเป็นคนนอกถึง 2 ชั้น ชั้นแรกคือรากเหง้าพ่อของเขามาจากเยเมน ชั้นที่ 2 คือแม่ที่เป็นคนนอกในครอบครัว เธอไม่ใช่ทั้งชาวซาอุฯ และเยเมน แต่เป็นซีเรีย” แมรี แอนน์ วีเวอร์ นักเขียนของนิตยสารนิวยอร์กเกอร์ อ้างคำพูดจากเพื่อนสนิทของครอบครัวบิน ลาเดน

สิ่งนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อุซามะห์ บิน ลาเดน โตขึ้นมาต่อต้านวิถีชีวิตอันฟู่ฟ่าของครอบครัว หันไปกินอยู่อย่างสมถะ และสนใจหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด

ก่อตั้งอัลกออิดะห์ช่วยอัฟกันรบโซเวียต

อุซามะห์ บิน ลาเดน แต่งงานกับภรรยาคนแรกซึ่งเป็นญาติของตนเองตั้งแต่อายุ 17 ปี หลังจากนั้นจึงเข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยคิงอับดุลลาซิส ในเมืองเจดดาห์ สถานที่แห่งนี้เองที่บ่มเพาะแนวคิดสุดโต่ง เพราะทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ซึ่งเชื่อว่าโลกมุสลิมส่วนใหญ่ปกครองด้วยคนนอกรีตที่ละเมิดหลักคำสอนแท้จริงของคัมภีร์อัลกุรอาน

นักการศาสนา 2 คนที่มีอิทธิพลทางความคิดกับบิน ลาเดนในวัยหนุ่ม คือ มุฮัมมัด กุตตับ และอับดุลลาห์ อัซซัม โดยเฉพาะคนหลังซึ่งบิน ลาเดน ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ คือผู้ถ่ายทอดแนวคิดญิฮาด (สงครามศักดิ์สิทธิ์) ว่าเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคน จนกว่าจะทวงคืนดินแดนทั้งหมดที่เคยเป็นของอิสลามกลับคืนมา

“มีแค่ญิฮาดและปืนไรเฟิล ไม่มีการเจรจาหารือหรือพูดคุยทั้งนั้น” นั่นคือคติพจน์ของอับดุลลาห์ อัซซัม ซึ่งเป็นแนวคิดที่บิน ลาเดน นำมาใช้ก่อตั้งกลุ่มอัลกออิดะห์

ปี 1979 ระหว่างที่บิน ลาเดน กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย ภูมิภาคตะวันออกกลางเกิดความระส่ำจากเหตุการณ์ปฏิวัติอิสลามโค่นล้มพระเจ้าชาห์ในอิหร่าน การลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างอียิปต์กับอิสราเอล และการบุกอัฟกานิสถานเพื่อเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็น

หลังโซเวียตบุกยึดอัฟกานิสถานไม่ถึง 2 สัปดาห์ บิน ลาเดนเดินทางไปพรมแดนปากีสถาน – อัฟกานิสถานเพื่อสังเกตการณ์ ก่อนเริ่มให้ความช่วยเหลือนักรบอัฟกันต่อต้านโซเวียต ด้วยการจัดตั้งสำนักงานในเมืองเปชวาร์ ของปากีสถาน เพื่อหาทุนและอาวุธ รวมถึงเกณฑ์นักรบจากทั่วโลกส่งไปช่วยกลุ่มมูจาฮีดีนชาวอัฟกัน

บิน ลาเดน เริ่มตั้งแคมป์ฝึกนักรบติดอาวุธในปี 1986 และคาดว่าสามารถระดมนักรบญิฮาดได้มากถึง 20,000 คน จนต่อมากลายเป็นเครือข่ายอัลกออิดะห์ ซึ่งแปลว่า ‘ฐาน’ สำหรับเป็นที่มั่นต่อต้านโซเวียตในอัฟกานิสถานยุคนั้น

แม้บิน ลาเดน เคยอ้างว่า ฐานที่มั่นของเขาได้เงินช่วยเหลือจากซาอุฯ และได้อาวุธจากซีไอเอของสหรัฐฯ แต่นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า ความจริงแล้วอเมริกาไม่เคยติดต่อโดยตรงกับบิน ลาเดน แต่ทำงานผ่านคนกลางจากหน่วยข่าวกรองของปากีสถาน

จุดเริ่มต้นความแค้นอเมริกาและซาอุฯ

“ผมมาค้นพบว่า การสู้รบในอัฟกานิสถานอย่างเดียวยังไม่พอ เราต้องสู้ทุกแนวรบเพื่อต่อต้านการกดขี่จากทั้งคอมมิวนิสต์และตะวันตก ภัยเร่งด่วนคือคอมมิวนิสต์ แต่เป้าหมายต่อไปคืออเมริกา” บิน ลาเดนให้สัมภาษณ์นักข่าวฝรั่งเศสในปี 1995 หลังโซเวียตถอนทัพกลับไปและพ่ายแพ้ในสงครามเย็น

ชัยชนะเหนือโซเวียตในอัฟกานิสถาน ทำให้บิน ลาเดน กลับบ้านเกิดเพื่อสานต่อธุรกิจครอบครัวเยี่ยงวีรบุรุษ แต่ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาออกมาวิจารณ์รัฐบาลถี่ขึ้น จนสมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ หลายคนเริ่มไม่ไว้ใจ

จุดแตกหักระหว่างบิน ลาเดน กับซาอุฯ เกิดขึ้นหลังซัดดัม ฮุสเซน ส่งกองทัพอิรักบุกคูเวต เปิดฉากสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 1990 ซึ่งบิน ลาเดน รับอาสาเป็นตัวแทนซาอุฯ ส่งกองกำลังที่เคยใช้ในอัฟกานิสถานไปปกป้องคูเวต แต่สุดท้าย ซาอุฯ ให้สหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพและต่อสู้กับซัดดัมแทน

“(อเมริกา) เริ่มมองตนเองว่าเป็นเจ้าโลกและจัดตั้งสิ่งที่เรียกว่าระเบียบโลกใหม่” บิน ลาเดน บอกกับนักข่าวด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหนีไปซูดาน และจัดตั้งค่ายฝึกผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์ในแอฟริกา เพื่อเริ่มปฏิบัติการณ์ต่อต้านสหรัฐฯ

วันที่ 29 ธันวาคม 1992 เกิดระเบิดที่โรงแรมในเยเมน ซึ่งทหารอเมริกันใช้พักแรมระหว่างเดินทางไปโซมาเลีย แรงระเบิดทำให้นักท่องเที่ยวชาวออสเตรีย 2 รายเสียชีวิต ส่วนทหารอเมริกันออกจากโรงแรมไปก่อนเกิดเหตุ หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เชื่อว่า เหตุการณ์นี้น่าจะเป็นการโจมตีอเมริกาครั้งแรกของบิน ลาเดน

หลังจากนั้น 2 เดือนถัดมา เกิดเหตุคาร์บอมบ์ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์ก มีผู้เสียชีวิต 6 คน ก่อนที่บิน ลาเดน จะออกมาชื่นชมผู้ก่อเหตุ และมีการโจมตีทหารอเมริกันในต่างแดนตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง และแอฟริกาตะวันออก

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้สหรัฐฯ และพันธมิตรตอบโต้ด้วยการเพิ่มแรงกดดันบิน ลาเดน จนในปี 1994 รัฐบาลซาอุฯ ประกาศอายัดทรัพย์สินและยกเลิกสถานะพลเมืองของเขา และอีก 2 ปีถัดมา รัฐบาลซูดานก็ขับไล่เขาออกนอกประเทศ ทำให้ต้องเดินทางกลับไปอัฟกานิสถาน และจับมือเป็นพันธมิตรกับมุลลาห์ โอมาร์ ผู้นำกลุ่มตาลีบัน

https://thepeople.co/osama-bin-laden/