
เนลสัน หลังเกษียณอายุ แมนเดลาได้เป็นประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งของแอฟริกาใต้ที่อายุมากที่สุด เขาเข้ารับตำแหน่งเมื่ออายุได้ 75 ปี ในปี พ.ศ. 2537 และตัดสินใจไม่รับตำแหน่งอีกเป็นสมัยที่สอง โดยเกษียณตัวเองในปี พ.ศ. 2542 และมี ทาบอ อึมแบกี รับสืบทอดตำแหน่งต่อไป
หลังจากที่เขาเกษียณจากตำแหน่งประธานาธิบดี แมนเดลายังคงอุทิศตนเพื่องานสังคมและงานด้านสิทธิมนุษยชนขององค์กรมากมาย เขาได้แสดงการสนับสนุนต่อขบวนการ Make Poverty History ซึ่งเป็นองค์การนานาชาติ โครงการหนึ่งภายใต้การเคลื่อนไหวนี้ได้แก่ ONE Campaign มีรายการแข่งขันกอล์ฟการกุศลรับเชิญในชื่อ Nelson Mandela Invitational จัดโดยแกรี่ เพลเยอร์ นักกอล์ฟชาวแอฟริกาใต้
สามารถระดมทุนสำหรับองค์การช่วยเหลือเด็ก ๆ ได้ถึง 20 ล้านแรนด์นับถึงปี พ.ศ. 2543 การแข่งขันนี้จัดเป็นประจำทุกปีและถือเป็นงานการกุศลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของแอฟริกาใต้ สามารถสนับสนุนการทำงานของมูลนิธิเนลสัน แมนเดลา เพื่อเด็ก (Nelson Mandela Children’s Fund) และมูลนิธิแกรี่ เพลเยอร์ซึ่งทำงานช่วยเหลือเด็ก ๆ ทั่วโลก
แมนเดลาออกเสียงสนับสนุนองค์กร SOS Children’s Villages ซึ่งเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลกในการเลี้ยงดูเด็กกำพร้าและเด็กที่ถูกทิ้ง แมนเดลาปรากฏตัวในโฆษณาทางโทรทัศน์ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2549 ซึ่งคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ได้นำคำพูดของเขามากล่าวถึงในโครงการรณรงค์ Celebrate Humanity ดังนี้
ในสิบเจ็ดวัน พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมห้อง
ในสิบเจ็ดวัน พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชีวิต
เพียงยี่สิบสองวินาที พวกเขาเป็นคู่แข่งขัน
เป็นสหายสิบเจ็ดวัน เป็นปฏิปักษ์ยี่สิบสองวินาที
โลกช่างมหัศจรรย์เหลือล้น
นั่นคือความหวังที่ข้าพเจ้าเห็นในโอลิมปิกเกมส์
เนลสัน หลังเกษียณอายุ สุขภาพ
เนลสัน หลังเกษียณอายุ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2544 แมนเดลาได้รับวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เขาเข้ารับการรักษาโดยรังสีเป็นเวลาเจ็ดสัปดาห์ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2545 แมนเดลาประกาศว่าจะวางมือจากงานสาธารณะทุกชนิด สุขภาพของเขาย่ำแย่ลง และเขาต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบกับครอบครัว
แมนเดลากล่าวว่าเขามิได้ตั้งใจจะซ่อนตัวจากสาธารณะ แต่เขาต้องการอยู่ในตำแหน่งที่ “ขอเป็นฝ่ายถามว่ายังเป็นที่ต้อนรับหรือไม่ แทนที่จะเป็นฝ่ายถูกโทรตามตัวไปร่วมงานต่าง ๆ คำขอของฉันก็คือ : อย่าโทรมา ฉันจะโทรไปเอง” นับแต่ปี พ.ศ. 2546 เขาปรากฏตัวในที่สาธารณะน้อยลงและไม่ค่อยได้กล่าวอะไรในโอกาสต่าง ๆ นักฃ ผมเขากลายเป็นสีขาวและเดินช้าลงโดยต้องใช้ไม้เท้าช่วย
ปี พ.ศ. 2546 มีการประกาศข่าวมรณกรรมของแมนเดลาโดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ซึ่งเป็นความผิดพลาด เนื่องจากข่าวการมรณกรรมที่เขียนเอาไว้ล่วงหน้า (เช่นกันกับข่าวของบุคคลสำคัญคนอื่น ๆ ) หลุดออกไปจากเว็บไซต์ของซีเอ็นเอ็นเนื่องจากความผิดพลาดด้านการป้องกันข้อมูล ปี พ.ศ. 2550 พวกฝ่ายขวากลุ่มหนึ่งแพร่ข่าวหลอกลวงทางอีเมลและเอสเอ็มเอส โดยอ้างว่าทางการได้ปกปิดข่าวการเสียชีวิตของแมนเดลาเพราะเกรงว่าพวกคนผิวขาวในแอฟริกาใต้จะถูกสังหารหมู่หลังจากที่เขาเสียชีวิต เวลานั้นแมนเดลาอยู่ระหว่างการพักผ่อนที่ประเทศโมซัมบิก
มีการจัดงานฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ 90 แก่แมนเดลาตลอดทั่วประเทศในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 โดยมีการเฉลิมฉลองขนานใหญ่ที่บ้านของเขาที่ควูนู มีการจัดคอนเสิร์ตเป็นเกียรติแก่เขาที่สวนไฮด์ปาร์ก กรุงลอนดอน สำหรับสุนทรพจน์ในวันเกิดของเขา แมนเดลาขอร้องให้บรรดาเศรษฐีช่วยเหลือคนจนทั่วโลกด้วย
เอลเดอร์ส
วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เนลสัน แมนเดลา, กราชา มาเชล, และเดสมอนด์ ตูตู ได้ร่วมกันจัดตั้งกลุ่มประกอบด้วยผู้นำโลกในโยฮันเนสเบิร์ก เพื่อระดมสติปัญญาและความเป็นผู้นำของแต่ละคนมาช่วยในการแก้ไขปัญหาอันหนักหนาของโลก เนลสัน แมนเดลา ประกาศการก่อตั้งกลุ่ม ชื่อว่า เอลเดอร์ส (Elders) ในสุนทรพจน์ของเขาในงานฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ 89
อาร์ค บิชอป ตูตู รับหน้าที่เป็นประธานกลุ่มเอลเดอร์ส สมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งนี้ยังประกอบไปด้วย กราชา มาเชล, โคฟี อันนัน, เอลา ภัตต์, โกร ฮาร์เลม บรุนด์แลนด์, จิมมี คาร์เตอร์, หลี่จ้าวซิง, แมรี โรบินสัน และ มูฮัมหมัด ยูนุส
“กลุ่มนี้สามารถพูดกันได้อย่างเปิดอก ทำงานด้วยกันทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตามที่จำเป็นจะต้องทำ” แมนเดลาให้ความเห็นกับการทำงานของกลุ่ม “เราทำงานด้วยกันเพื่อสร้างความกล้าหาญในที่ซึ่งหวาดกลัว ช่วยกล่อมเกลาข้อตกลงในที่ซึ่งมีข้อขัดแย้ง และบันดาลความหวังในที่ซึ่งท้อถอย”
การต่อต้านโรคเอดส์
นับแต่เขาเกษียณตนเอง หนึ่งในงานที่แมนเดลาให้ความสำคัญอันดับแรก ๆ คืองานเกี่ยวกับการต่อต้านโรคเอดส์ เขาได้ขึ้นกล่าวปิดในการประชุมนานาชาติเพื่อต่อต้านโรคเอดส์ครั้งที่ 13 เมื่อปี พ.ศ. 2543 ที่เมืองเดอร์บา ประเทศแอฟริกาใต้[121] ปี พ.ศ. 2546 เขาได้ให้การสนับสนุนกับโครงการรณรงค์เพื่อระดมทุนสำหรับการต่อต้านโรคเอดส์
ชื่อโครงการว่า 46664 ซึ่งตั้งชื่อตามหมายเลขนักโทษของเขา เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 เขาบินมายังกรุงเทพฯ เพื่อขึ้นกล่าวในการประชุมนานาชาติเพื่อต่อต้านโรคเอดส์ ครั้งที่ 14 บุตรชายของเขาคือ มัคกาโธ แมนเดลา เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2548 กิจกรรมต่าง ๆ ที่แมนเดลาทำเพื่อต่อต้านโรคเอดส์ได้มีการรวบรวมเอาไว้ในหนังสือของสเตฟานี โนเลน ชื่อ 28: Stories of AIDS in Africa
บทบาทต่อการรุกรานอิรัก
ช่วงปี พ.ศ. 2545-2546 แมนเดลาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างประเทศของคณะรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์หลายครั้ง รวมถึงการไร้ความสามารถของสหประชาชาติในการเข้าร่วมตัดสินการเริ่มต้นสงครามอิรัก เขากล่าวว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด สิ่งที่บุชกำลังทำ
เป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ขณะนี้บุชกำลังบ่อนทำลายสหประชาชาติ” แมนเดลาระบุว่าเขาจะสนับสนุนการต่อต้านประเทศอิรักก็ต่อเมื่อมีคำสั่งที่มาจากสหประชาชาติเท่านั้น เขายังกล่าวเป็นนัยว่าการที่บุชไม่ยอมทำตามมติสหประชาชาติอาจเพราะมีแรงจูงใจจากการเหยียดชนชั้นและอคติที่มีต่อเลขาธิการสหประชาชาติในขณะนั้น โคฟี อันนัน ก็ได้ “นี่เป็นเพราะเลขาธิการสหประชาชาติคนปัจจุบันเป็นคนดำใช่หรือไม่ พวกเขาไม่เคยทำอย่างนี้เมื่อเลขาธิการเป็นคนขาว”
เขาเรียกร้องให้ประชาชนชาวอเมริกันเข้าร่วมมวลชนประท้วงต่อต้านบุช และเรียกร้องเหล่าผู้นำทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่มีสิทธิ์วีโต้ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ให้ต่อต้านบุชด้วย “สิ่งที่ข้าพเจ้าประณามคือ อำนาจหนึ่งในมือของประธานาธิบดีผู้ไร้วิสัยทัศน์และไม่สามารถคิดได้อย่างเหมาะสม กำลังทุ่มโลกใบนี้ให้แหลกพินาศ” เขายังกล่าวโจมตี
สหรัฐอเมริกาด้วยเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง “ถ้าจะมีประเทศไหนต้องรับผิดชอบกับความร้ายกาจขนาดที่ไม่อาจกล่าวออกมาได้ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ประเทศนั้นก็คือสหรัฐอเมริกา พวกเขาไม่สนใจอะไรเลย”
เนลสัน หลังเกษียณอายุ ความขัดแย้งกับอิสมาอิล เอย็อบ
อิสมาอิล เอย็อบ (Ismail Ayob) คือเพื่อนสนิทและทนายความส่วนตัวของแมนเดลาเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548 แมนเดลาขอร้องให้เอย็อบหยุดการขายภาพพิมพ์ลายเซ็นของแมนเดลา ความขัดแย้งนี้รุนแรงขึ้นจนกระทั่งแมนเดลานำความขึ้นร้องต่อศาลสูงของแอฟริกาใต้ในปีเดียวกันนั้น เอย็อบปฏิเสธข้อกล่าวหา และว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขายังอ้างอีกว่าตนตกเป็นเหยื่อของแผนการรณรงค์หาเสียงของทีมที่ปรึกษาของแมนเดลา หรือกล่าวเจาะจงลงไปคือแผนการของจอร์จ บิโซส
ระหว่างปี 2548-2549 เอย็อบ ภรรยา และลูกชายของพวกเขา ได้เป็นเป้าโจมตีสำคัญของทีมที่ปรึกษาของแมนเดลา ความขัดแย้งนี้ถูกนำเสนออย่างกว้างขวางในสื่อต่าง ๆ โดยที่ภาพของเอย็อบออกมาในทางลบ ทีมงานของแมนเดลาโจมตีเอย็อบในการประจันหน้าสาธารณะหลายครั้ง กับมีเสียงเรียกร้องมากมายให้เนรเทศเอย็อบกับครอบครัวออกไปเสีย
ฝ่ายจำเลยซึ่งประกอบด้วยอิสมาอิล และซามิลา เอย็อบ (ภรรยาของเขาที่ตกเป็นจำเลยร่วม) แก้ต่างโดยอาศัยเอกสารที่ลงนามโดยแมนเดลา มีเลขานุการของเขาลงนามเป็นพยาน ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเป็นหลักฐานลบล้างข้อกล่าวหาของแมนเดลากับทีมที่ปรึกษาของเขา
คดีนี้ขึ้นมาเป็นข่าวพาดหัวอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 เมื่อในระหว่างการพิจารณาไต่สวนที่ศาลสูงของโจฮันเนสเบิร์ก เอย็อบสัญญาว่าจะจ่ายเงินจำนวน 700,000 แรนด์ ให้แก่แมนเดลา ซึ่งเอย็อบได้โอนเงินเข้าในกองทุนหลักทรัพย์สำหรับทายาทของแมนเดลา และกล่าวขออภัย แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะออกมากล่าวอ้างอีกว่า ตนเป็นเหยื่อความอาฆาตมาดร้ายของแมนเดลา ผู้สื่อข่าวจำนวนหนึ่งแสดงความเห็นอกเห็นใจแก่เอย็อบ โดยระบุว่าด้วยสถานะทางสังคมของแมนเดลาย่อมไม่อาจทำให้เอย็อบได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมนัก
รายละเอียดของคดี
เอย็อบ, จอร์จ บิโซส และวิม เทรนโกฟ เป็นผู้จัดการมรดกของกองทุนมรดกเนลสัน แมนเดลา ซึ่งก่อตั้งขึ้นในการบริหารจัดการเงินจำนวนหลายล้านแรนด์ที่ได้รับบริจาคมาในนามของเนลสัน แมนเดลา จากองค์กรธุรกิจที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง รวมไปถึงตระกูลออพเพนไฮเมอร์ด้วย
โดยให้จัดสรรประโยชน์แก่ทายาทบุตรหลานของเนลสัน แมนเดลา ในเวลาต่อมาเอย็อบลาออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกในปี พ.ศ. 2549 ผู้จัดการมรดกอีกสองคนที่เหลือได้ฟ้องร้องเอย็อบในการใช้จ่ายเงินจากกองทุนโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากพวกเขา เอย็อบอ้างว่าเงินดังกล่าวจ่ายไปให้กับกรมสรรพากรของแอฟริกาใต้สำหรับผลประโยชน์ของทายาทของแมนเดลา ผลประโยชน์ของแมนเดลาเอง และจ่ายให้สำนักงานจัดทำบัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายทางบัญชีเป็นเวลา 4 ปี
บิโซสกับเทรนโกฟปฏิเสธการอนุมัติจ่ายเงินทั้งในส่วนของทายาทของแมนเดลาและส่วนของสำนักงานบัญชี ผลตัดสินของศาลสรุปว่า เอย็อบจะต้องจ่ายคืนเงินจำนวนนี้ (มากกว่า 700,000 แรนด์) ให้กับกองทุนเนื่องจากไม่ได้หารือกับผู้จัดการมรดกก่อนนำเงินออกไปใช้
นอกจากนี้ยังมีการฟ้องร้องว่าเอย็อบหมิ่นประมาทต่อแมนเดลาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งศาลตัดสินให้เอย็อบต้องขอโทษ อย่างไรก็ดีเป็นที่สังเกตว่า ลายลักษณ์อักษรเหล่านั้นที่กล่าวถึงการที่เนลสัน แมนเดลา เป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากในต่างประเทศหลายบัญชีและไม่ได้จ่ายภาษีจากเงินได้เหล่านั้น มิได้มีต้นเหตุมาจากคำให้การของเอย็อบ แต่มาจากทางฝ่ายของแมนเดลาและจอร์จ บิโซสเอง
ความขัดแย้งกรณีเพชรสีเลือด
บทความใน The New Republic ชุดหนึ่งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 ได้วิพากษ์วิจารณ์เนลสัน แมนเดลา กับการที่เขาให้ความคิดเห็นทางบวกต่อธุรกิจเหมืองเพชรหลายต่อหลายครั้ง ทั้งนี้เพราะความเห็นของเขาเอื้อประโยชน์ให้กับกิจการเพชรสีเลือด (blood diamond) แมนเดลาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงเอ็ดเวิร์ด ชวิค ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง เทพบุตรเพชรสีเลือด ใจความในจดหมายตอนหนึ่งว่า
…จะเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างสุดซึ้งหากการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นด้วยความเข้าใจผิดกับข้อเท็จจริง ผลที่เกิดจะทำให้โลกเชื่อไปว่า สิ่งถูกต้องเหมาะสมที่ควรทำคือหยุดการซื้อเพชรจากเหมืองในแอฟริกา… เราหวังว่าความปรารถนาในการเล่าเรื่องราวชีวิตจริงที่สำคัญและน่าจับใจจะไม่ส่งผลบั่นทอนต่อประเทศอุตสาหกรรมด้านเพชรในแอฟริกา และหวังว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อพลเมืองของประเทศเหล่านั้น
บทความใน New Republic ชุดนี้อ้างว่า ข้อคิดเห็นดังกล่าวนี้รวมไปถึงการจุดประเด็นผลักดันและการกล่าวสุนทรพจน์ที่ให้คุณต่ออุตสาหกรรมเพชรหลายครั้งในชีวิตของแมนเดลา รวมถึงช่วงที่เขาเป็นประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ด้วย เกิดขึ้นเนื่องมาจากความสัมพันธ์ของเขากับ แฮร์รี่ ออพเพนไฮเมอร์ อดีตประธานบริหารของ เดอเบียร์ส และเป็นการวางแผนล่วงหน้าสำหรับ “ผลประโยชน์อันคับแคบของประเทศ” ของแอฟริกาใต้ (ซึ่งเป็นผู้ผลิตเพชรรายใหญ่ของโลก)
เนลสัน หลังเกษียณอายุ ซิมบับเว กับรอเบิร์ต มูกาเบ
แม้ว่าทั้งแมนเดลาและรอเบิร์ต มูกาเบ ประธานาธิบดีซิมบับเว จะมีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องอิสรภาพของประเทศ แมนเดลาและมูกาเบกลับไม่ค่อยถูกมองในแบบเดียวกัน มูกาเบผู้ซึ่งปกครองประเทศตั้งแต่ได้รับอิสรภาพใน พ.ศ. 2523 ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนานาประเทศในเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2520 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน, การคอร์รัปชัน การบริหารประเทศอย่างไร้ความสามารถ การกดขี่ทางการเมือง และการเล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของประเทศล่มสลายในที่สุด
แมนเดลาวิพากษ์วิจารณ์มูกาเบใน พ.ศ. 2543 กล่าวถึงผู้นำในทวีปแอฟริกาซึ่งปลดปล่อยประเทศให้เป็นอิสระแต่กลับอยู่ในตำแหน่งนานเกินกว่าจะเป็นที่ยอมรับ หลังเกษียณอายุ แมนเดลากล่าวถึงซิมบับเวและปัญหาต่าง ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศน้อยลง ซึ่งบางครั้งทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าเขาไม่ยอมใช้อิทธิพลในการชักนำมูกาเบให้ดำเนินนโยบายให้เป็นกลางมากขึ้น จอร์จ บิซอส ทนายของเขา เปิดเผยว่าแมนเดลาถูกเตือนให้ระวังปัญหาสุขภาพ โดยให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดความเครียดเช่นปัญหาการเมืองเหล่านี้ ถึงกระนั้นก็ตาม ในปี 2550 แมนเดลาได้พยายามที่จะชักจูงมูกาเบให้ลาออกจากตำแหน่งก่อนที่จะถูกขับไล่อย่างออกุสโต ปิโนเชต์ อดีตประธานาธิบดีแห่งประเทศชิลี แต่มูกาเบกลับไม่ตอบสนองต่อคำเรียกร้องนี้
วันที่ในข่าวนี้ 1 มกราคม 1999 วันที่ประมาณการ