เพชรซาอุฯ30 ปีของเกรียงไกร จากวังสู่เรือนจำ แก้กรรมในวัดก่อนกลับมาใช้ชีวิตในบ้านเกิด ผู้เคยก่อคดีสะเทือนโลก “เพชรซาอุ” เมื่อเดือน ส.ค. 2532
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ผมได้ใช้เวรใช้กรรมที่ศาลลงโทษโดยการติดคุกไปเรียบร้อยแล้ว ของที่ขโมยมาก็คืนไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีบาปติดตัว ไม่มีคดีติดค้าง” นายเกรียงไกร มงคลสุภาพ กล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอันเรียบเฉย แต่แววตายังดูเหมือนแฝงความกังวลกับสิ่งที่ตนทำไว้ในอดีต
หลังจากผ่านไป 30 ปี เกรียงไกร ซึ่งเปลี่ยนนามสกุลจาก “เตชะโม่ง” เป็น “มงคลสุภาพ” ผู้เคยก่อคดีสะเทือนโลก “เพชรซาอุ” เมื่อเดือน ส.ค. 2532 ได้กลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายตามที่เขาปรารถนาในวัย 61 ปี
เกรียงไกรรับรู้ถึงผลกระทบจากอาชญากรรมที่เขาก่อผ่านข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอ แม้จะรู้สึกผิด แต่เกรียงไกรคิดว่าการถูกจำคุกเป็นเวลา 3 ปี ตามคำพิพากษาของศาล เป็นการชดใช้ความผิดที่เขาได้ทำลงไปหมดสิ้นแล้ว
“ของกลางเราก็คืนไปหมดแล้ว แล้วเราก็อยู่ในเรือนจำชดใช้ความผิดที่เราได้ก่อไป จะให้เราไปขอโทษที่ซาอุฯ ก็คงไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าไปก็เท่ากับเราไปตาย” เกรียงไกรนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นและเขายืนยันว่าเขาเสียใจกับการกระทำของเขา
เกรียงไกรบอกว่า ความผิดในวันนั้นเป็นแรงผลักดันให้เขาปรับพฤติกรรมเพื่อที่จะล้างบาปในใจและกลับไปใช้ชีวิตเรียบง่ายในแบบที่เขาต้องการ

เพชรซาอุฯ30 ปีของเกรียงไกรวันนี้ อดีตคนงานวังเจ้าชายซาอุฯ เปิดใจกับบีบีซีไทยถึงชีวิตของเขาหลังผ่านมรสุมชีวิตที่เป็น “ฝันร้าย” อันยากจะลืมเลือน
ชีวิตหลังพ้นคุก
หลังถูกจับกุมเมื่อปี 2533 เกรียงไกรให้การรับสารภาพและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนสอบสวน และคืนของกลางที่ยังเหลืออยู่หลังจากขายไปบางส่วน เพราะเขาคิดว่านี่คือวิธีเดียวที่จะผ่อนโทษหนักเป็นเบา
“ตอนนั้นไม่คิดว่าตัวเองจะถูกจับ แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ในเมื่อผมทำผิด ผมก็ต้องถูกจับ หลบหนีไม่พ้น ไม่ได้คาดคิดว่าการกระทำของเราจะเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกขนาดนี้” เกรียงไกรกล่าว
“พอตำรวจตามหาตัวจนเจอ ผมก็รับสารภาพเลย ไม่ได้มีความพยายามในการต่อสู้คดีใด ๆ และให้ความร่วมมือกับตำรวจในการตามหาของกลางอย่างเต็มที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาเพราะมันดันไปเกี่ยวข้องกับคนนอก คนใหญ่คนโต คนสูง ส่วนตัวเราเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร พอโดนจับเราก็รับสารภาพ และคืนของทั้งหมดที่ขโมยมา”
หลังจากการสืบสวนสิ้นสุดลง ศาลได้พิพากษาตัดสินจำคุกเกรียงไกรในข้อหาลักทรัพย์ 7 ปี แต่เนื่องจากเขารับสารภาพศาลจึงลดโทษเหลือ 3 ปีครึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาจำคุกจริง ๆ ไม่ถึง 3 ปี
หลังจากพ้นโทษ เกรียงไกรกลับมาอาศัยอยู่กับครอบครัวที่บ้านแม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง ช่วงแรกเขามีอาการหวาดกลัวคนแปลกหน้าและมักตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้าย แต่เขาก็พยายามปรับตัวเพื่อกลับเข้าสู่ภาวะปกติให้ได้ในเร็ววัน
“ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบ้าไปเลย ผวาและกลัวทุกอย่างรอบตัว คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราต้องตาย และจะมีคนมาตามฆ่าเรา ช่วงนั้นนอนไม่หลับและตื่นกลัวอยู่เป็นสัปดาห์ ผมจึงจำเหตุการณ์อะไรได้ไม่ค่อยมาก ตอนนี้อายุ 61 แล้วก็ยังมีอาการผวาอยู่บ้าง”
“สิ่งแรกที่ผมทำก็คือการเปลี่ยนนามสกุล ไม่ใช่เพราะอยากจะหลบซ่อนหรือหนีใคร แต่ผมไม่อยากให้ลูกของผมอายเพราะถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อ ตัวผมไม่เดือดร้อนอะไรเพราะคนรู้จักผมจากข่าวหมดแล้ว แต่ผมไม่อยากให้ลูกชายต้องมาเดือดร้อนจากสิ่งที่ผมก่อไว้”

เกรียงไกรเสริมว่าเขาไม่เคยคิดว่าเรื่องจะบานปลายไปกระทบกับผู้คนมากมายขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าของที่ขโมยมานั้นมีมูลค่าและความสำคัญมากมายขนาดไหน
“ตอนนั้นรู้แต่ว่าของที่ขโมยมาเป็นทองเป็นของมีค่า แต่เราไม่รู้และไม่เข้าใจเกี่ยวกับมูลค่าของตัวเพชรเลย ตอนนั้นคิดด้วยซ้ำว่าเป็นเพชรปลอมและไม่มีคุณค่าอะไร เรื่องกฎหมายหรือคดีเราก็ไม่เข้าใจ มาเริ่มทำความเข้าใจและรู้เรื่องทั้งหมดหลังจากที่พ้นโทษออกมาแล้ว”
“เหตุที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นฝันร้าย ทุกวันนี้ก้าวข้ามความกังวลและความรู้สึกผิดไปได้แล้วเพราะผมติดคุกไปแล้ว และพ้นโทษออกมาแล้ว ของกลางทั้งหมดที่ขโมยมาก็คืนให้กับเจ้าหน้าที่ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เก็บเอาไว้เองเลย”
หลังจากใช้ชีวิตด้วยความหวาดผวาและไม่เป็นสุขมานาน เกรียงไกรคิดได้ว่าที่เขาเป็นแบบนี้เพราะรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปจึงคิดหาวิธีกำจัด “บาปในใจ” ของเขาด้วยการเข้าหาพระธรรม เขาตัดสินใจบวชตลอดชีวิตเพื่อล้างบาป
“ในชีวิตของผม เจอความผิดหวังมากกว่าความสมหวัง เดี๋ยวก็โดนโน่นนี่อยู่ตลอดเวลา และด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยสบาย ก็เลยตัดสินใจไปบวช พอบวชแล้วก็รู้สึกปรับจิตใจได้ดีมากกว่าแต่ก่อน”
เกรียงไกรบวชเป็นพระเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2559 โดยตั้งใจว่าจะบวชตลอดชีวิต นอกจากจะบวชเพื่อชำระล้างจิตใจจากการทำผิดที่ขโมยเครื่องเพชรจากราชวงศ์ซาอุฯ แล้ว เขายังตั้งใจบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วย เพราะในบรรดาพี่น้องผู้ชายทั้ง 4 คน ยังไม่เคยมีใครบวชให้พ่อแม่เลย

“ช่วงที่บวชเป็นพระ มีคนมาหามากมาย หลายคนมากระซิบว่าขอเพชรเม็ดหนึ่งได้ไหม ตอนนั้นเป็นพระอยู่ก็เลยไม่ได้พูดอะไรออกไป พวกเขาเลยคิดว่าผมยังมีเพชรซ่อนอยู่ที่บ้าน แต่ในความเป็นจริง เราไม่เหลืออะไรแล้ว ผมคืนให้ตำรวจไปหมด เพราะผมไม่ใช่โจรมืออาชีพ ผมกลัวมาก กลัวความผิดจนตัวสั่นเลย ผมจึงเลือกที่จะคืนไปให้หมด”
หลังจากบวชได้ 3 ปี โดยได้ฉายา “วชิรญาโณ” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีญาณแกร่งดุจเพชร” จิตใจของเกรียงไกรก็กลับมาว้าวุ่นอีกเมื่อรู้ว่าครอบครัวของเขากำลังเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้คนในครอบครัวต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาเลี้ยงชีพ ปัญหาที่บ้านทำให้เกรียงไกรตัดสินใจสึกออกมาเมื่อต้นปี 2562
“ชาวบ้านหาว่าผมบวชหนีปัญหาและทิ้งครอบครัวให้ลำบาก ผมเลยจำเป็นต้องสึกออกมาช่วยที่บ้านทำไร่ไถนา และอีกอย่างแม่ก็เริ่มอยู่ลำบากเพราะอายุ 80 กว่าปีแล้ว โรคประจำตัวรุมเร้า พ่อของผมก็เสียชีวิตไปแล้ว”
หลังจากสึกออกมา เกรียงไกรใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ที่บ้าน ทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งทำไร่ทำนา ตัดหญ้า ขนของ และมีรายได้อีกส่วนหนึ่งจากการรับเบี้ยผู้สูงอายุ
บ้านไม้ชั้นเดียวที่เคยปรากฏในข่าวเมื่อ 30 ปีที่แล้วยังคงเป็นบ้านหลังเดิมที่เกรียงไกรอาศัยอยู่ แต่สวนข้างบ้านที่เคยเต็มไปด้วยต้นลำไยและเป็นจุดที่เขาฝังเพชรที่ขโมยมา ตอนนี้เป็นที่ดินว่างเปล่า
หลังจากสึกออกมา เกรียงไกรใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ที่บ้าน ทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งทำไร่ทำนา ตัดหญ้า ขนของ และมีรายได้อีกส่วนหนึ่งจากการรับเบี้ยผู้สูงอายุ
บ้านไม้ชั้นเดียวที่เคยปรากฏในข่าวเมื่อ 30 ปีที่แล้วยังคงเป็นบ้านหลังเดิมที่เกรียงไกรอาศัยอยู่ แต่สวนข้างบ้านที่เคยเต็มไปด้วยต้นลำไยและเป็นจุดที่เขาฝังเพชรที่ขโมยมา ตอนนี้เป็นที่ดินว่างเปล่า
“ทุกครั้งที่รู้สึกว้าวุ่นใจ จะแก้ปัญหาด้วยการสวดมนต์ ไหว้พระ ก็ช่วยเราได้ จริง ๆ อยากจะบวชไปทั้งชีวิตแต่ทำไม่ได้เพราะมีครอบครัว ไหนจะแม่ที่ต้องดูแลอีก ถ้าไม่มีครอบครัวที่ต้องคอยห่วงก็คิดว่าการบวชตลอดชีวิตน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะสบายใจดี”
“ผมทำหน้าที่ในการทดแทนบุญคุณให้พ่อแม่โดยการบวชไปแล้ว และชดใช้กรรมจากคดีที่ก่อไปแล้วผ่านการติดคุก และคืนของไปหมด ตอนนี้ผมไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไปแล้ว ส่วนตัวผมคิดว่าทำหน้าที่สมบูรณ์แบบแล้ว เรื่องอะไรที่มันเกิดภายหลังและนอกเหนือสิ่งที่ผมทำไปแล้ว ผมก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้แล้ว”
ทามไลน์คดี เพชรซาอุฯ30 ปีของเกรียงไกร
- ส.ค. 2532 เกรียงไกร เตชะโม่ง แรงงานไทยชาวลำปาง คนงานในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด โจรกรรมเพชร ทอง และอัญมณี ช่วงที่เจ้าชายไฟซาลเสด็จไปพักผ่อนที่ต่างประเทศ สื่อไทยรายงานว่าเขาขโมยเครื่องเพชรออกมาได้นับร้อยชิ้น น้ำหนักรวมกันกว่า 90 กก. รวมทั้ง “บลูไดมอนด์” ซึ่งเป็นเพชรเก่าแก่หายากสีน้ำเงินขนาด 50 กะรัต ว่ากันว่าเพชรล้ำค่าประจำราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียเม็ดนี้เป็นหนึ่งในเพชรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
- หลังเกิดเหตุ ซาอุฯ ติดต่อทางการไทยหาตัวผู้ก่อเหตุและส่งของมีค่าทั้งหมดคืน
- ปี 2533 กรมตำรวจในสมัยนั้นมอบหมายให้ พล.ต.ท ชลอ เกิดเทศ เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวน จนจับกุมนายเกรียงไกรมาดำเนินคดีฐานลักทรัพย์ได้สำเร็จ
- เกรียงไกรให้การรับสารภาพ ศาลตัดสินจำคุก 3 ปี
- ตำรวจเริ่มตาหาเพชรที่นายเกรียงไกรขายไปก่อนถูกจับ หนึ่งในพ่อค้าเพชรที่รับซื้อของโจรต่อจากเกรียงไกรคือ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ พ่อค้าเพชรย่านสะพานเหล็กในกรุงเทพฯ
- ไม่นานนัก ตำรวจตามหาเพชรบางส่วนคืนมาได้และส่งมอบของกลางส่วนแรกนี้คืนให้ทางการซาอุฯ
- ทางการซาอุฯ พบว่าของที่ส่งคืนมานั้น กว่าครึ่งเป็นของปลอม และที่สำคัญคือไม่ได้ส่งบลูไดมอนด์มาด้วย ทำให้ พล.ต.ท.ชลอเริ่มต้นตามหาเพชรที่หายไปอีกครั้ง โดยมุ่งเป้าไปที่นายสันติ แต่เขายืนยันว่าได้ส่งคืนเพชรให้ตำรวจหมดแล้วและปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับเพชรบลูไดมอนด์
- ก.พ. 2533 นักการทูตซาอุฯ 2 คนถูกลอบสังหารในกรุงเทพฯ และมีนักธุรกิจซาอุฯ อีก 1 คนหายตัวไป คาดว่าถูกฆาตกรรมเช่นกัน ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ เลวร้ายลงไปอีก และต่อมาซาอุฯ ได้ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย
- ก.ค. 2537 ชุดปฏิบัติการนำโดย พล.ต.ท. ชลอ ลักพาตัวและเรียกค่าไถ่นางดาราวดีและ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ ภรรยาและลูกชายของนายสันติ เพื่อบีบให้นายสันตินำเพชรมาคืน และได้ฆ่าปิดปากเหยื่อทั้งสองโดยจัดฉากให้ดูเหมือนว่าสองแม่ลูกประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต
- ปี 2552 ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำตัดสินศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอ เขาถูกถอดยศและถูกเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
- ปี 2556 ชลอได้รับการปล่อยตัว หลังติดคุกมานานกว่า 19 ปี และเปลี่ยนชื่อเป็นธัชพล เกิดเทศ
- ปัจจุบันยังไม่มีใครรู้ว่า “บลูไดมอนด์” อยู่ที่ไหน และคดีฆาตกรรมนักการทูตและนักธุรกิจชาวซาอุยังไม่ถูกคลี่คลาย
