Skip to content
Home » News » เสด็จสวรรคต

เสด็จสวรรคต

เสด็จสวรรคต เสด็จนิวัติประเทศไทย เมื่อพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จกลับประเทศไทยในปลาย พ.ศ. 2494 สมเด็จพระบรมราชชนนียังคงประทับที่โลซานน์จนถึง พ.ศ. 2506 ช่วงนี้ได้เสด็จกลับประเทศไทยเป็นครั้งคราว ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ใน พ.ศ. 2507

ได้เสด็จกลับมาประทับที่ประเทศไทยพร้อมกับเริ่มเสด็จประพาสหัวเมืองและเสด็จพระราชดำเนินออกเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ พระองค์ได้ประกอบพระราชกรณียกิจด้วยทรงห่วงใยราษฎรที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ในท้องถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ ทรงเสด้จเข้าเยี่ยมเยียนชาวไทยภูเขาทางภาคเหนือ ทรงบำรุงขวัญกำลังใจแก่ราษฎร ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร และพลเรือนเป็นประจำ

จากการเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรนี้เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ทรงริเริ่มงานพัฒนาต่าง ๆ ได้ทรงริเริ่มโครงการต่าง ๆ เพื่อประชาชนยากจนด้อยโอกาส ทรงยึดมั่นในการบำเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย นอกจากการอภิบาลพระราชโอรสทั้งสอง และพระราชธิดา ยังได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจอื่น ๆ อีกเป็นอเนกประการ

ได้พระราชทานพระราชานุเคราะห์แก่มูลนิธิและองค์การกุศลต่างๆ ตามกำลังพระราชทรัพย์ ทั้งยังได้พระราชทานความช่วยเหลือด้านสาธารณสุข, เสื้อผ้า และอาหาร ผ่านเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง ชาวไทยภูเขาจึงถวายพระสมัญญานามแก่พระองค์ว่า “แม่ฟ้าหลวง” ด้วยเสด็จมาจากฟากฟ้าเพื่อมาปัดเป่าทุกข์แก่ราษฎร นอกจากนี้ยังทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามต่าง ๆ อาทิ พระมารดาแห่งการทันตแพทย์ไทย, พระมารดาแห่งการแพทย์ชนบท ,พระมารดาแห่งการสังคมสงเคราะห์ และพระมารดาแห่งการสาธารณสุขไทย เป็นต้น

จนวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2513 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระราชชนนี ทรงพระนามเป็น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

สวรรคต

เสด็จสวรรคต
https://siamrath.co.th/n/261738

เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงมีพระราชดำรัส “ฉันจะปลูกป่าบนดอยตุง” ในปี 2531 นั้น ได้ทรงเปลี่ยนชื่อมูลนิธิส่งเสริมผลผลิตชาวเขาไทยที่ทรงจัดตั้งเมื่อปี 2515 มาเป็นมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ องค์กรในพระบรมราชูปถัมภ์แห่งนี้จึงทำงานเพื่อประโยชน์แก่สังคมมานานถึง 50 ปี มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม

โดยเริ่มโครงการฯ จากโจทย์ของสมเด็จย่า คือ ปลูกป่า ปลูกคน ในพื้นที่ซึ่งป่าถูกทำลาย มีการปลูกและค้าฝิ่น ซึ่งผลประจักษ์แล้วคือดอยตุงมีป่าที่อุดมสมบูรณ์ประมาณเก้าหมื่นไร่ ประชาชนบนดอยราวหนึ่งหมื่นคนมีอาชีพที่ดี และประเทศไทยหลุดจากบัญชีประเทศหลักที่ปลูกฝิ่นตั้งแต่ปี 2547

จากการปลูกป่าธรรมชาติ มาสู่ป่าเศรษฐกิจ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเริ่มปลูกแมคคาเดเมียในปี 2532 และปลูกกาแฟในปี 2535 ทำให้เกิดอาชีพแก่ชุมชนในด้านต่างๆ ตามมาทั้งในกลุ่มอาหาร หัตถกรรม ท่องเที่ยว ฯลฯ สะสมเป็นประสบการณ์ให้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ นำความรู้ขยายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศในเวลาต่อมา

โดยจากรับสั่งของสมเด็จย่าที่ว่า “คนเราต้องปรับตัว” เป็นเรื่องจริงและสำคัญเสมอ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ก็ยึดมาใช้ปรับการทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์ในสถานการณ์ต่างๆ

นับจากปี 2531 จนเมื่อการพัฒนาชุมชนบนดอยตุงครอบคลุมทั้งด้านธรรมชาติ เศรษฐกิจ การศึกษาและสาธารณสุขแล้ว มูลนิธิฯ จึงไปมีส่วนร่วมพัฒนาร่วมกับชุมชนอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สร้างประโยชน์โดยตรงแก่ประชาชนที่มาร่วมพัฒนาประมาณ 1,240,000 คน ได้แก่

2545 โครงการพัฒนาหย่องข่า เมียนมา

2548 โครงการปลูกป่าปางมะหัน จังหวัดเชียงราย

2549 โครงการปลูกป่าและชาน้ำมัน ปางมะหัน จังหวัดเชียงราย

2549 โครงการพัฒนาจังหวัด บัลคห์ อัฟกานิสถาน

2549 โครงการพัฒนาอาเจะห์ อินโดนีเซีย

2552 โครงการปลูกป่าจังหวัดน่าน

2554 โครงการกล้าดี 13 จังหวัดภาคกลาง

2554 โครงการพัฒนาเยนันชอง เมียนมา

2556 โครงการพัฒนาเมืองสาด เมียนมา

2561 โครงการพัฒนาหนองตะยา เมียนมา

2561 โครงการร้อยใจรักษ์ จังหวัดเชียงใหม่

อย่างไรก็ตาม จากความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของปัญหาสภาพภูมิอากาศของโลกและทิศทางของประชาคมโลก ทำให้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ฯ เริ่มขยายบทบาทของการปลูกป่าให้เกิดเป็นบริบทของประเทศไทย

กระแสความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมกำลังจะเป็นกระแสหลักที่แยกไม่ออกจากด้านเศรษฐกิจและธุรกิจ ประเทศที่ไม่ตื่นตัวก็จะถูกผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และประเทศไทยก็มีความตื่นตัวในเรื่องนี้ทั้งจากภาคเอกชน ตลาดหลักทรัพย์ องค์การก๊าซเรือนกระจก และกระทรวงทรัพยากร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ก็ใช้ประสบการณ์ด้านการดูแลป่าเข้ามาช่วยให้เกิดเป็นมิติใหม่ของป่า

มูลนิธิฯ ได้ทำลองทำงานร่วมกับประชาชนในอำเภอเมือง อำเภอขุนยวม และอำเภอแม่ลาน้อย ร่วมกันพัฒนาป่าชุมชนที่นอกจากจะสร้างกลุ่มอาชีพจากป่าแล้ว ยังร่วมกันพัฒนามาตรฐานของป่าเพื่อนำไปสู่รายได้ที่ยั่งยืนจากคาร์บอนเครดิต จนพร้อมจะขยายไปยังอีก 16 ป่าชุมชนในเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา รวมพื้นที่สองหมื่นไร่

ตั้งแต่เริ่มโครงการบนดอยตุง มีการจัดตั้งบริษัทนวุติฯ โดยภาคเอกชนต่างๆ เข้ามาสนับสนุน นั่นเลยเป็นค่านิยมร่วมของมูลนิธิฯ ซึ่งจากนี้ไปจะยิ่งสำคัญเพราะทุกฝ่ายต้องการร่วมแก้ปัญหาสังคม แต่ถ้าไม่ร่วมกันก็จะไม่เกิดพลังเพื่อที่จะสำเร็จ

เสด็จสวรรคต สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมีพระอาการทางพระหทัยกำเริบและทรงเหนื่อยอ่อน คณะแพทย์ถวายการรักษาเบื้องต้นที่วังสระปทุม จนกระทั่งวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2538 จึงเชิญเสด็จพระราชดำเนินเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ ตึก 84 ปี โรงพยาบาลศิริราช ระหว่างการประทับรักษาที่โรงพยาบาล คณะแพทย์พบว่าเกิดการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต จึงได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะเพิ่ม ต่อมา มีพระอาการแทรกซ้อน มีการอักเสบที่พระอันตะ พระอันตคุณ (ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก) และที่พระปับผาสะ (ปอด) ข้างขวา คณะแพทย์ได้พยายามถวายการรักษาจนพระอาการทั่วไปดีขึ้นบ้าง

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม สมเด็จพระบรมราชชนนีมีพระอาการทรุดลง เนื่องด้วยมีพระอาการแทรกซ้อนทางพระยกนะ (ตับ) และพระวักกะ (ไต) ไม่ทำงาน พระหทัย (หัวใจ) ทำงานไม่ปกติ ความดันพระโลหิตต่ำทำให้เกิดภาวะเป็นกรดในพระโลหิต คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาความผิดปกติของระบบต่าง ๆ รวมทั้งการฟอกพระโลหิตด้วยเครื่องไตเทียมและกรองสารพิษซึ่งเกิดจากภาวะผิดปกติของพระยกนะ แต่พระอาการตั้งแต่เช้าจนเที่ยงของวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 คงอยู่ในภาวะวิกฤต จนกระทั่ง เวลา 21:17 น. สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคต รวมพระชนมายุ 94 พรรษา

สำนักนายกรัฐมนตรีประกาศให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสา 3 วัน และให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจไว้ทุกข์เป็นเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ต่อมา ในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2538 บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้ขยายเวลาลดธงครึ่งเสาต่อไปจนครบ 50 วัน เพื่อให้สอดคล้องกับการแต่งกายไว้ทุกข์ถวาย โดยให้ลดธงครึ่งเสาต่อไปจนถึงวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2538

พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพจัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2539 ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง พระราชสรีรางคารถูกเชิญไปบรรจุ ณ รังษีวัฒนา สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร