
เหตุการณ์เหยื่อ แจ็กเดอะริปเปอร์ กรณีแจ็กเดอะริปเปอร์ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าในเทคนิคการสอบสวนและนิติเวชศาสตร์มากที่สุดหลังเหตุการณ์
วิธีการด้านนิติเวชสมัยใหม่ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่เป็นที่รู้จักของตำรวจนครบาลในสมัยวิกตอเรีย แนวคิดเกี่ยวกับแรงกระตุ้นหรือแรงดลใจให้ลงมือกระทำการฆ่าของฆาตกรต่อเนื่องยังไม่เป็นที่เข้าใจกันแต่อย่างใด ตำรวจในสมัยนั้นเข้าใจเพียงแรงจูงใจอาชญากรรมที่มีต้นจากความต้องการทางเพศเท่านั้น
ลำดับเหตุการณ์
- 31 สิงหาคม ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายแรก เป็นโสเภณี
- 8 กันยายน ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง เป็นโสเภณีเช่นกัน
- 25 กันยายน ค.ศ. 1888 จดหมายส่งถึงสำนักงานเซ็นทรัล ลงนาม “แจ๊กเดอะริปเปอร์”
- 30 กันยายน ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สามกับสี่ในเวลาไล่เลี่ยกัน
- 1 ตุลาคม ค.ศ. 1888 ไปรษณีย์บัตร “แจ็ค เดอะ ริพเปอร์” ถึงสำนักข่าวเดิม
- 16 ตุลาคม ค.ศ. 1888 พัสดุลงชื่อ “จากนรก” ส่งไตครึ่งซีกไปให้จอร์ช ประธานคณะกรรมการป้องกันภัยไวต์ชาเปล
- 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1888 เหยื่อรายที่ห้าคาดว่าเป็นรายสุดท้าย
- 31 ธันวาคม ค.ศ. 1888 พบศพมองตาดู จอห์น ดรูอิทท์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ๊กเดอะริปเปอร์ จมน้ำตาย สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
- ค.ศ. 1890 อารอน โคสมินสกี้ ผู้ส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตและเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1919
- ค.ศ. 1892 ปิดคดีแจ็กเดอะริปเปอร์ โดยหาผู้กระทำความผิดไม่เจอ
เหตุการณ์
เวลา 03.40 นาฬิกา ของวันที่ 31 สิงหาคม 1888 ความมืดมิดยังปกคลุมทั่วเขตไวท์ชาเปล (Whitechapel) ย่านคนจนที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ชายคนหนึ่งเร้นกายอยู่ในความมืด และหายตัวไปราวกับเงาที่ไม่อาจจับต้อง เลือดจากบาดแผลที่ถูกเชือดโดยมีดขนาด 12 นิ้ว ไหลซึมอยู่บนถนน ร่างที่ไร้วิญญาณของเหยื่อรายแรกยังคงอุ่น เธอคือ ‘แมรี แอนน์ นิโคลส์’ (Mary Ann Nichols) หญิงขายบริการผู้โชคร้าย และจุดเริ่มต้นตำนานฆาตกรต่อเนื่องแห่งไวท์ชาเปลที่ตำรวจไม่อาจปิดคดีได้มาจนถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์เหยื่อ แจ็กเดอะริปเปอร์ นี่คือปริศนาของฆาตกรที่คนทั่วโลกจับตามากว่า 133 ปี ‘แจ็ค เดอะ ริปเปอร์’ เขาสังหารหญิงขายบริการอย่างโหดเหี้ยมไปถึง 5 ศพ แต่หลายคนเชื่อว่ามีเหยื่อมากกว่านั้น และอาจมากถึง 11 ศพตามจำนวนแฟ้มคดีของตำรวจนครบาลของกรุงลอนดอน (London’s Metropolitan Police Service) ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 1888 – 13 กุมภาพันธ์ 1891
เหตุการณ์เหยื่อ ทั้ง 5
เธอทั้ง 5 คน คือเหยื่อที่สังเวยชีวิตให้กับแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ และได้รับการยืนยันจากตำรวจว่าเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกัน โดยพวกเขาเรียกเธอทั้ง 5 คนว่า ‘The Canonical Five’ ส่วนหญิงสาวรายอื่น ๆ ที่เสียชีวิตในไวท์ชาเปล ทางตำรวจยังไม่ยืนยันแน่ชัดว่าเป็นฝีมือของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์
เนื่องจากมีหลายแนวคิดและทฤษฎีจากคนที่ตามหาตัวฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ บางคนบอกว่าเหยื่อของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์มีแค่ 5 ราย บางคนบอกว่ามีมากถึง 11 ราย บางคนบอกว่ามีมากกว่านั้น หรือแม้กระทั่งบางคนเชื่อว่าแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่เป็นฆาตกรหลายคนที่ลงมือฆ่าเหยื่อของตัวเอง เพราะเมื่อพิจารณาจากสภาพศพอย่างละเอียดพบว่า วิธีการฆ่าและวิธีการเลือกเหยื่อนั้นไม่เหมือนกันและไม่มีแบบแผน เว้นแต่ว่าพวกเธอล้วนเป็นโสเภณี กระนั้น การตายของหญิงสาวทั้ง 5 ก็มีส่วนที่ถูกใช้เป็นหลักฐาน และเป็นข้อสันนิษฐานในการเฟ้นหาแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ตัวจริง
เหยื่อรายแรกถูกพบเป็นศพช่วงเช้ามืดของวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 1888 เธอคือหญิงขายบริการอายุ 43 ปี นามว่า แมรี แอนน์ นิโคลส์ (Mary Ann Nichols) เธอเดินอยู่บนถนนไวท์ชาเปลท่ามกลางความมืดคนเดียว และมีพยานพบเห็นเธอ 1 ชั่วโมงก่อนหน้าที่จะพบเป็นศพ
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือร่างไร้วิญญาณนั้นยังคงอุ่น หมายความว่าคนร้ายเพิ่งจะลงมือได้ไม่นาน โดยสภาพศพของแมรีมีร่องรอยถูกปาดที่คอเป็นแผลลึก 2 รอย และลึกถึงขนาดที่คอของเธอเกือบจะหลุดออกมา นอกจากนี้เธอยังถูกแทงที่บริเวณช่องคลอด 2 ครั้ง และที่บริเวณท้อง ซึ่งการกระทำอันโหดร้ายนี้เกิดขึ้นภายใต้ความเงียบสงัด ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของหญิงสาว และแน่นอนว่าไม่มีใครได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าของฆาตกร ในจุดนี้ ตำรวจคาดการณ์ว่าแมรีอาจถูกบีบคอจนเสียชีวิต ก่อนที่ฆาตกรจะลงมือเชือดคอของเธอทีหลัง
หลังจากนั้นเพียง 1 สัปดาห์ ในวันเสาร์ที่ 8 กันยายน 1888 ศพของเหยื่อรายที่สองก็ปรากฏขึ้นที่ถนนเส้นเดิม เธอมีชื่อว่า ‘แอนนี แชปแมน’ (Annie Chapman) ร่างของหญิงสาววัย 28 ปีคนนี้ถูกพบในเวลาประมาณ 6 โมงเช้า โดยสภาพศพถูกกระทำรุนแรงขึ้นกว่าศพแรก เพราะนอกจากจะมีรอยปาดลึกที่คอจำนวน 2 รอยแล้ว หน้าท้องของเธอยังถูกเปิดออก ลำไส้เล็กถูกนำมากองทิ้งไว้ที่บริเวณไหล่ขวา มดลูก ช่องคลอด และกระเพาะปัสสาวะถูกชำแหละออกจากร่าง
ความโหดเหี้ยมของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์เริ่มเป็นที่กล่าวขานกันมากขึ้น แต่หญิงขายบริการตามถนนไวท์ชาเปลยังคงทำงานของพวกเธอต่อไป โดยวันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 1888 เอลิซาเบธ สไตรด์ (Elizabeth Stride) ในวัย 45 ปี ถูกพบเป็นศพราวตี 1 คอของเธอมีรอยถูกปาดเป็นแผลยาว 6 นิ้ว แต่ไม่มีร่องรอยของการถูกชำแหละเหมือนเช่นเหยื่อรายอื่น ๆ ซึ่งคาดเดาว่าระหว่างที่คนร้ายกำลังจะลงมือ อาจมีคนมาพบเห็นเข้าเสียก่อน ทำให้ฆาตกรถูกขัดจังหวะและต้องหนีไป นอกจากนี้ตำรวจยังเผยอีกว่า สาเหตุการตายของเอลิซาเบธมาจากการเสียเลือดมาก ซึ่งต่างจากเหยื่อสองรายแรกที่คาดว่าถูกบีบคอจนตายก่อนจะใช้มีดปาดคอทีหลัง
แต่ไม่ถึง 1 ชั่วโมงหลังจากนั้น ศพของแคทเธอรีน เอดโดวส์ (Catherine Eddowes) เหยื่อในวัย 46 ปีก็ถูกพบในสภาพที่น่าสลดกว่าทุกศพที่ผ่านมา เพราะเธอไม่เพียงถูกปาดคอ แต่หน้าท้องของเธอยังถูกกรีดออก ลำไส้ถูกควักออกมาวางบนหัวไหล่ด้านขวา แถมบางส่วนยังถูกตัดออกมาวางทิ้งไว้ข้างลำตัว หน้าของเธอถูกกรีดจนเสียโฉม จมูกถูกตัด แก้มถูกเฉือนเป็นรูปสามเหลี่ยมชี้ขึ้นไปที่ดวงตา นอกจากนี้ ไตและกระเพาะปัสสาวะของเธอยังถูกตัดออกมา การกระทำนี้เองที่ทำให้ตำรวจสันนิษฐานได้ว่า แจ็ค เดอะ ริปเปอร์น่าจะเป็นคนที่มีความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์ เพราะเขาทราบตำแหน่งของอวัยวะ และตัดมันออกภายใต้ความมืดได้อย่างคล่องแคล่ว
10.45 นาฬิกาของวันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 1888 ราวกับเป็นการทิ้งทวนของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ เหยื่อรายสุดท้ายของเขาถูกฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณที่สุด ถึงขนาดที่ตำรวจไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจนว่าผู้หญิงรายนี้เป็นใคร แต่ต้องอาศัยพยานวัตถุที่อยู่ในที่เกิดเหตุแทน ซึ่งคาดว่าเธอคือ ‘แมรี เจน เคลลี’ (Mary Jane Kelly) หญิงสาววัย 25 ปีที่เสียชีวิตอยู่ในห้องพักของตัวเอง
แมรีถูกพบในสภาพนอนกางขาอยู่บนเตียง ใบหน้าเละจนไม่อาจระบุได้ว่าเป็นใคร ช่องท้องของเธอถูกเปิดออก คอถูกกรีดลึกถึงกระดูกสันหลัง มดลูก ไต และเต้านมข้างหนึ่งถูกตัดออกมาวางไว้ใกล้ศีรษะ อวัยวะภายในอื่น ๆ ถูกวางไว้ที่เท้า เนื้อบริเวณหน้าท้องและต้นขาถูกวางเอาไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ส่วนหัวใจถูกควักออกจากร่างและหายไป
จากหลักฐานที่ได้จากศพและที่เกิดเหตุทำให้เกิดแนวคิดและทฤษฎีมากมาย ทั้งตำรวจและพลเรือนต่างพยายามระบุตัวแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ให้ได้ แต่ด้วยหลักฐานที่ยังไม่มากพอ ประกอบกับเวลาที่ล่วงเลยมากว่า 133 ปี ทำให้การตามหาตัวฆาตกรในยุควิกตอเรียนคนนี้ไม่ง่ายเลย