เหมา เจ๋อตง บทบาททางการเมือง การปกครองและกลยุทธ์ต่างๆ ปี 1919 เป็นปีที่ไม่ธรรมดาในประวัติศาสตร์จีน เดือนมกราคมของปีนี้ ?การประชุมสันติภาพปารีส?ซึ่ง เป็นการ ประชุมแบ่งทรัพย์สินโจรหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติลงแล้วได้เปิดการ ประชุมขึ้น
ประเทศจีนได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ในฐานะประเทศชนะสงคราม แต่ประเทศลัทธิจักรวรรดินิยมอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อิตาลี ได้ดำเนินแผนการร้ายที่จะเฉือนตัดแบ่งโลกใหม่ตามอำเภอใจของพวกเขา ถึงกับลดฐานะประเทศจีนให้เป็นประเทศเมืองขึ้นเปิดการอภิปรายในหัวข้อที่ เรียกว่า ?ปัญหาให้ญี่ปุ่นเป็นผู้รับช่วงสิทธิพิเศษ ของเยอรมนีในซานตง? เมื่อข่าวนี้แพร่เข้ามาถึงประเทศจีน ประชาชนทั่วประเทศเปล่งเสียงร้องกึกก้องด้วยความเดือดดาล มรสุมครั้งใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นในเมืองเป่ยผิง

เหมา เจ๋อตง บทบาททางการเมือง การปกครองและกลยุทธ์ต่างๆ ใน ระหว่างนั้น เหมาเจ๋อตงที่พกเอาความคิดใหม่ๆ มามากมายจากเป่ยผิงแดนวัฒนธรรมอันลือชื่อของจีนกลับมาอยู่ฉางซา ก็ไปมาหาสู่กับพวกเพื่อนๆ ในอดีตเป็นประจำมิได้ขาด ครั้งหนึ่งเมื่อพบกับเพื่อนสนิทโจวซื่อจาว เขาก็ปรารภว่า ?นัก เรียนนักศึกษาในเป่ยผิง เซี่ยงไฮ้กำลังปวดร้าวและเคืองแค้นจากข่าวที่การต่างประเทศของจีนประสบความ ล้มเหลว กำลังบ่มตัวก่อการเคลื่อนไหวรักชาติขึ้น
วันที่ 4 เดือนพฤษภาคม เนื่องจากรัฐบาลขุนศึกยอมจำนนต่อความกดดันของพวกลัทธิจักรวรรดินิยม ตระเตรียมการลงนามในสนธิสัญญา ?สันติภาพ? ที่ขายชาติ ประชาชนทั่วประเทศสุดจะอดทนต่อไปได้ การเคลื่อนไหวรักชาติที่คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมอย่างเป็น ประวัติการณ์ระเบิดขึ้นในบัดดล! นั่นก็คือ วันที่ประวัติศาสตร์จีนได้บันทึกไว้เป้น ?การ เคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม?!
ความ หมายทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของ ?การเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม? อยู่ที่มันมีท่วงท่าที่การปฎิวัติซินไฮ่ไม่เคยมี กล่าวคือ คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมและสัทธิศักดินานิยมอย่างถึงที่สุดไม่ยอมประนี ประนอม ส่วนที่นำหน้าในชนชั้นกรรมกรก็เริ่มรับรู้ฐานะทางประวัติศาสตร์และภาระ หน้าที่ทางประวัติศาสตร์ของชนชั้นต้น
ค่อยๆ เปลี่ยนจากชนชั้นไร้จิตสำนึกในตัวเองเป็นชนชั้นมีจิตสำนึกของตัวเอง และใช้ท่วงท่าที่เป็นอิสระก้าวขึ้นสู่เวทีการเมือง ทำให้การปฏิวัติของประเทศจีนคืบหน้าไปสู่ขั้นตอนใหม่ ซึ่ง เป็นเครื่องบ่งชี้การเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติวัทธิประชาธิปไตยใหม่ ในขณะเดียวกัน ?การเคลื่อนไหววัฒนธรรมใหม่ 4 พฤษภาคม? อันไม่ประนีประนอม ยังเป็นการเคลื่อนไหวปลดปล่อยความคิดอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง หลังจาก ?การเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม? แล้ว การเผยแพร่ลัทธิมาร์กซ ? เลนินก็ได้กลายเป็นกระแสหลักของเวลานั้น
เหมา เจ๋อตงได้นำเอาความสามารถในการโฆษณาปลุกระดม ที่โดดเด่นเฉพาะตัวของเขาวิ่งเต้นตระเวนเอาความคิดรักชาติแทรกซึมลงไปในวง การสื่อสารวงการศึกษาและวงการอื่นๆ ทั่วนครฉางซา ใน ชั่วเวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกวงการก็ให้การสนองตอบ ด้วยความเร่าร้อน การประลองกำลังระหว่างขุนศึกจาง จิ้งหยาวกับผู้นำนักเรียนนักศึกษาเด็กท้องนาร่างผอมบางในครั้งแรก จางจิ้งหยาวพ่ายแพ้หมดรูป เพื่อที่จะขยายผลสะเทือนให้กว้างใหญ่ออกไป และต้านทานการกดดัน
เหมาเจ๋อตงตัดสินใจจัดตั้งองค์กรการนำอย่างเป็นเอกภาพของนักเรียนนักศึกษา ทั่วมณฑล เขากระจายสมาชิกของซินหมินเซี่ยฮุ่ยออกไป ตามโรงเรียนต่างๆ แยกย้ายกันไปดำเนินงานปลุกระดมและจัดตั้ง ไม่นาน ?สหพันธ์นักเรียนนัก ศึกษาหูหนาน? ก็จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ประธานของสมาคมที่ได้รับเลือกชื่อ เผิงหวง เป็นสมาชิกของซินหมินเซี่ยฮุ่ย รับการนำจากเหมาเจ๋อตงโดยตรงหลังจากสหพันธ์นักเรียนนักศึกษาหูหนานก่อตั้ง ขึ้นแล้ว ก็มีมติให้หยุดเรียนทั่วมณฑล เข้าร่วมการเคลื่อนไหวรักชาติของประชาชนทั่วประเทศ
จาก นั้นเพื่อช่วงชิงให้ได้รับความเห็นใจและสนับ สนุนจากประชาชนทั่วประเทศ เหมาเจ๋อตงยังจัดตั้งคณผู้แทนนักเรียนนักศึกษาแยกกันไปเป่ยผิง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว เหิงหยาง เฉินโจว จางเต๋อ เป็นต้น โฆษณาความชั่วช้าของจางจิ้งหยาวและจุดประสงค์ในการโค่นจาง ใน ขณะนั้น หูหนานและมณฑลใกล้เคียง การต่อสู้เพื่อโค่นจางจิ้งหยาวก็ปะทุขึ้นเป็นไฟล่ามทุ่ง ผ่านการต่อสู้อย่างยากลำบากมานานถึง 10 เดือน การเคลื่อนไหวขับจางจิ้งหยาวภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตงก็สำเร็จ
ความ ปรีชาทางการเมืองและความสามารถในการจัดตั้งที่เหนือผู้อื่น ของเหมาเจ๋อตง ได้แสดงออกประจักษ์ชัดเป็นครั้งแรกในการต่อสู้คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมและ คัดค้านลัทธิศักดินานิยมคราวนี้
เหมา เจ๋อตง บทบาททางการเมือง การปกครองและกลยุทธ์ต่างๆ
กลยุทธ์เขียนเสือให้วัวกลัว
เป็น กลยุทธ์ที่ทำกร่างสร้างพลัง หรือแกล้งทำเป็นเข้มแข็งตรงกับคำพังเพยไทย เขียนเสือให้วัวกลัว เหมาเจ๋อตงใช้กลยุทธ์นี้ขณะที่เป็นนักศึกษาวิทยาลัยครู หมายเลข 1 ของมณฑลหูหนาน หรือกล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกของชีวิตเขาในการออกศึกก็ว่าได้ ขณะนั้นสถานการณ์กำลังสับสนอลหม่านจากการทำศึกกลางเมือง ระหว่างขุนศึกก๊กต่างๆ
ขุนศึกภาคเหนือ ซึ่งกุมอำนาจรัฐบาลถูกกลุ่มต่างๆรุมทึ้งจนต้องแตกทัพถอยร่นลงมาทางใต้ ซึ่งถูกไล่ขยี้หนีมาถึงเมืองฉางชาและพักพลอยู่นอกเมืองใกล้กับวิทยาลัย พวกทหารได้ฉกชิงปล้นอาหารจองประชาชนด้วยความหิวโหยอาจไม่ หยุดอยู่แค่นอกเมืองเท่านั้นอาจบุกเข้ามาในเมืองสร้างความวุ่นวายเดือดร้อน ผู้คนที่อยู่ในเมืองต่างหวาดวิตกว่าพวกทหารกองพลที่ 8
เรื่อง นี้เหมาเจ๋อตง ซึ่งเป็นนักศึกษาหนุ่มแน่น จึงรีบเรียกประชุมกองร้อยนักศึกษาในสังกัด เพื่อหาทางแก้ไข โดยบอกว่าต้องออกไปรบกับพวกทหารเพื่อไมให้พวกมันเข้ามาก่อความเดือดร้อนแก่ ชาวเมือง เพื่อนนักศึกษาบางคนรีบคัดค้าดทันทีโดยทักท้วงว่า กองร้อยนักศึกษามีแต่ปืนไม้ที่ใช้หัดทหารเท่านั้น ไม่มีปืนจริงสักกระบอกจะคิดไปสู้รบกับทหารรัฐบาลขุนศึกที่มีอาวุธพียบลพร้อม อย่างนั้นไม่เป็นการเสียสติไปหรือ เหมาเจ๋อตงหรี่ตา มองหน้าเพื่อนๆ ขี้สงสัยโดยไม่กล่าวว่ากระไร พลางหยิบกระดาษพู่กันมาวาดรูปเสือตัวหนึ่งและวัวอีกตัวหนึ่ง
โดย แบ่งกลุ่มเพื่อนเป็นกลุ่มๆ กลุ่มหนึ่งแสร้งว่าเป็นทหารคอยส่งเสียงโห่ร้อง กลุ่มหนึ่งคอยยิงปืนขึ้นฟ้า ขู่ขวัญ กลุ่มหนึ่งก็ไปขอกำลังเสริมจากตำรวจเพื่อคอยคุมเชิง ทหารได้ยินก็ต่างกลัวคิดว่ากองกำลังมากมาย จึงยอมจำนน
บทบาทด้านการยอมรับศรัทธาจากผู้ตามและ สังคม
ในวัยเด็ก
ปี หนึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วง ชาวนาเอาข่าวที่ตีจากรวงตากแดดไว้ที่ลานบ้าน ทันใดนั้น เมฆดำก็ลอยมาทุกคนต่างรีบเก็บข้าวหนีฝน แต่เด็กชายเหมาเจ๋อตงแทนที่จะรีบไปเก็บข้าวที่ลานบ้านของตน กลับวิ่งไปช่วยชาวนาอีกบ้านหนึ่งเก็บข้าวก่อน ผลก็คือ ข้าวของบ้านตนเปียกชุ่ม บิดาเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เหมาเจ๋อตง กลับตอบว่า ?คนอื่นเขาแย่กว่าเรา ซ้ำยังต้องเสียภาษีด้วย เสียหายไปแม้สักเล็กน้อยเขาก็แย่ สำหรับข้าวของเรา ก็ช่างมันเถอะครับ?
ครั้ง หนึ่งบิดาของเหมาเจ๋อตงซื้อหมูจากชาวบ้านมาตัวหนึ่งจ่ายเงินไปตามราคาในขณะ นั้น เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านไปไม่กี่วัน บิดาให้เขาไปรับหมูตัวนั้นมา แต่พอเขาไปถึงบ้านนั้น แม่เฒ่าผู้หนึ่งเสื้อผ้ามอมแมมขาดกระรุ่งกระริ่งออกมารับหน้า ถอนหายใจรำพันกับเขาว่า ?ดูเถอะ คงจะเป็นบุญของบ้านหนู ที่ได้กำไรไปสบายๆ?
เหมาเจ๋อตงสงสัย ก็ถามต้นสายปลายเหตุว่าเพราะอะไร แม่เฒ่าเล่าว่า ?ตอนที่เราขายหมูให้พ่อหนู ราคามันต่ำกว่านี้ เวลานี้ราคาหมูสูงกว่าที่ตกลงกันไว้มาก? เหมาเจ๋อตงสงสาร บอกกับแม่เฒ่าว่า ?ผมไม่เอาหมูกลับแล้ว ยายเอาเงินของพ่อผมคืนมา ยายก็เอาหมูไปขายให้ได้ราคาที่ต้องการก็แล้วกัน?
เรื่อง ราวที่เหมาเจ๋อตงใส่ใจ และช่วยเหลือผู้คนที่ยากไร้ในวัยเด็กยังมีอีกมากมาย เช่น เขาเอาเงินในบ้านไปช่วยเหลือเด็กคนอื่นให้ได้เรียนหนังสือ เอาอาหารกลางวันของตนให้เพื่อนที่อดอยากกินเกือบจะตลอดเวลาที่เรียนหนังสือ อยู่ด้วยกัน เคยถอดเสื้อนวมให้กับคนแปลกหน้าที่นอนหนาวสั่นอยู่ข้างทาง เป็นต้น ถ้าหากว่าการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติของลูก ชาวนาคนนี้แล้ว ความรู้สึกสำนึกต่อชะตากรรมอันระทมทุกข์ของมวลประชาชนที่อดอยากยากจนอย่าง ลึกซึ้ง ก็เป็นพลังขับดันอย่างหนึ่งแห่งการต่อสู้ของเขา
ในเวลาต่อมา ในฐานะลูกชาวนา เหมาเจ๋อตงคุ้นเคยกับนิสัยใจคอ ความเคยชิน ความรักชอบของชาวนาอย่างสุดซึ้ง คุ้นเคยกับภาษา อารมณ์และแบบวิธีคิดของชาวนาเป็นอย่างดี คุ้นเคยความทุกข์ยาก ภายในส่วนลึกเขารักประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาสามารถใกล้ชิดประชาชนเสาซาน หลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับประชาชน ในที่สุดก็ได้รับความเชื่อถือศรัทธาและความรักใคร่สนับสนุนจากประชาชน
ช่วงที่เป็นผู้นำกองทัพแดง
ขณะ ที่เหมาเจ๋อตงกล้าหาญทำสงครามกับทหารรัฐบาลที่มีมากกว่ากันหลายขุม และต้องเผชิญกับขุนศึกที่เก่งกาจจบการศึกษาจบการคึกษาจากโรงเรียนายทหารชี้ นนำทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ เหมาเจ๋อตงกลับไม่ละเลยที่จะงัดกลยุทธ์ตำรับโบราณออกมาใช้ให้จั๋งหนับ หยิบมาใช้เมื่อไร เป็นได้เรื่องทุกครั้ง เพราะเหมาไม่ได้ใช้อย่างทื่อๆตามตำรา แต่รู้จักปรับปรุงพลิกแพลงแต่งเติมเปลี่ยนตำราตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป
ขณะ นั้น เมื่อเขากุมอำนาจการชี้นำกองทัพแดงได้เด็ดขาดหลังจากการประชุมครั้งสำคัญที่ ตำบลจุนยี่ ระหว่างการเดินทัพทางไกล ขณะนั้น จอมพลเจี่ยงสั่งการด่วนให้ระดมกองทัพรัฐบาลทางภาคใต้ทั้งฟากตะวันออกและ ตะวันตกรวม 5 มณฑล กระจายกำลังกันโอบล้อมรุกคืบเข้า สู่ตำบลจุ่นยี่อันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพแดงและเป็น ศูนย์รวมของบรรดาแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ ท่ามกลางเหตุการณ์สับสนอลม่านนี้เอง เหมาเจ๋อตง ผงาดขึ้นเป็นผู้นำอย่างแท้จริงในการสั่งการวางแผนรับศึกมหาโหดครั้งนี้
เหมา เจ๋อตงสั่งการให้เคลื่อนทัพขึ้นเหนืออย่างรวดเร็วเพื่อสลัดให้พ้นจากการตาม ล่าของเหล่าทหารรัฐบาลที่โอบล้อมเข้ามาเหมือนแหยักษ์ การ จะยกพลขึ้นเหรือต้องข้ามแม่น้ำฉางเจียง ซึ่งเป็นปราการธรรมชาติที่กั้นประเทศจีนออกเป็นเหนือกับใต้ การลองภูมิระหว่างจอมพลเจี่ยง กับเหมา เจ๋อตงครั้งแรก เกิดขึ้นในครั้งนี้
จอม พลเจี่ยงขึ้นชื่อเป็นขุนศึกอัจฉริยะคนหนึ่ง ซึ่งมีแผนการรบเหมือนเทวดา บอกให้ งานนนี้จอมพลเจ้าปัญญาต้องการเผด็จศึกคอมมิวนิสต์ให้ได้ในคราวเดียว จึงทุ่มเทพลมหาศาลนับแสนคนวางกำลังตรึงแม่น้ำฉางเจียงทางฝั่งเหนืออย่างไม่ ให้ปลาสักตัวขึ้นฝั่งมาได้เลย ขนาดปลาตัวกระจ้อยร่อยยังไม่อาจพ้นเงื้อมมือไปได้ เหมาเจ๋อตงจะนำทหารแดงนับหมื่นข้ามแม่น้ำได้อย่างไร
เหมา เจ๋อตง แทบจะไม่ได้แตะต้องอาหารใดๆเลย เขาต้องพิสูจน์ให้ทหารแดงเชื่อมั่นในตัวเขาให้ได้ในโอกาสแรกที่ตนเองกุม อำนาจการบัญชาการด้านยุทธการ จอมทัพเหมาสั่งให้ทหารแดงจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีกำลังพลไม่มากนักบุกเข้าทะลวงค่ายศัตรูที่ถู่เฉิงกับเมืองชิสุ่ย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอบยตะเข็บมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) กับมณฑลกุ้ยโจว โถมกำลังเข้าตีอย่างเอาเป็นเอาตายให้เห็นว่า มีความปราถนาแรงกล้าที่จะยึดเมืองเล็กๆทั้งสองแห่งนั้นไว้ให้ได้
ทั้งนี้ เพื่อแสดงให้ฝ่ายรัฐบาลเข้าใจว่าทหารแดงกำลังรบอย่างจนตรอกและยอมตายเพื่อ อุดมการณ์ไม่คิดหนีสู้ไม่ถอย ฝ่ายจอมพลเจี่ยงไล่ล่า ทหารป่าตกหลุมพรางเข้าใจผิดว่า ทหารแดงคิดสู้ตายด้วยการตีเมืองทั้งสองแห่งนั้นอย่างดุเดือดจริงๆ จึงระดมพลยกกองทัพส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปช่วยทหารรัฐบาลที่อยู่เมืองถู่เฉิงกับ เมืองชิสุ่ย
จังหวะสำคัญนั้นเอง เหมาเจ๋อตง ฉกฉวยนาทีทองนำกองทัพแดงส่วนใหญ่ชะแว้บผ่านการสกัดกั้นของทหารรัฐบาล ลุยข้ามน้ำชิสุ่ยหรือแม่น้ำแดงอันเป็นแควแยกของมหานทีแม่น้ำฉางเจียงไปได้ อย่างสะดวก ด้วยกลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล ถึงแม้กองทัพแดงต้องสูญเสียไพร่พบส่วนหนึ่งไปในการบุกโจมตีเมืองเล็กๆสอง แห่ง แต่คำนวณและคุ้มค่าชีวิตมาก
เมื่อกองทัพแดงส่วนใหญ่รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชไปได้อย่างหวุดหวิดชนิดหายใจ คว่ำ ทหารแดงที่หลุดข้ามฝั่งแม่น้ำได้ จึงเลื่อมใส ศรัทธาในตัวของเหมาเจ๋อตงมากและยอมมอบกายถวายชีวิตให้แก่เหมาเจ๋อตงตั้งแต่ บัดนั้นเป็นต้นมา ทหารหัวเห็ดเหล่านั้นกลายเป็นกองทัพพิทักษ์เหมาในกาลต่อมา
ซึ่งช่วยค้ำจุนบัลลังก์ให้เหมาเจ๋อตงกลายเป็นประธานเหมาผู้ยิ่งยง ตลอดอายุขัยที่เหลือนานกว่า 40 ปี การ เสียสละอีกครั้งของทหารเดงหน่วยนี้ ทำให้ทหารแดงส่วนใหญ่ที่ข้ามฟากไปแล้ว สามารถเดินรุดหน้าไปได้รวดเร็วจนทหารรัฐบาลตามไม่ทัน เพราะต้องพะวงกับทหารแดงหน่วยที่ข้ามกลับมาสกัดกั้นแบบยอมพลีชีพ

1ม.ค.1919(วันที่ประมาณการ)