
โชซ็อน ยุคฝ่ายตะวันตก เรืองอำนาจ ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 ชาวแมนจูทางตอนเหนือของจีนเรืองอำนาจขึ้นและเป็นภัยคุกคามต่อจีนราชวงศ์หมิง โชซ็อนในสมัยของเจ้าชายควังแฮดำเนินนโยบายที่เป็นกลาง เมื่อพระเจ้าอินโจขึ้นครองราชย์จากการยึดอำนาจขุนนางฝ่ายตะวันตก มีอำนาจ
ขุนนางฝ่ายตะวันตกมีนโยบายสนับสนุนราชวงศ์หมิงต่อต้านชาวแมนจู ในค.ศ. 1627 ฮงไทจิ (แมนจู: Hong Taiji) ผู้นำของชาวแมนจูส่งทัพเข้ารุกรานโชซ็อนเกิดเป็นการรุกรานเกาหลีของแมนจูครั้งที่หนึ่ง (First Manchu Invasion of Korea) หลังจากการเจรจาโชซ็อนยินยอมดำเนินนโยบายที่เป็นกลางทัพแมนจูจึงกลับไป
โชซ็อน ยุคฝ่ายตะวันตก เรืองอำนาจ แต่ทว่าราชสำนักโชซ็อนมิได้ทำตามข้อตกลงที่ทำไว้กับแมนจู ยังคงเชิดชูและช่วยเหลือราชวงศ์หมิงเช่นเดิม ต่อมาเมื่อฮงไทจิประกาศก่อตั้งราชวงศ์ชิง (Qing dynasty) ต้องการให้โชซ็อนเป็นเมืองขึ้นส่งบรรณาการให้แก่ราชวงศ์ชิง นำไปสู่การรุกรานเกาหลีของแมนจูครั้งที่สอง (Second Manchu Invasion of Korea)
ในค.ศ. 1636 ปีต่อมาค.ศ. 1637 ปีต่อมาพระเจ้าอินโจทรงยอมจำนนต่อแมนจู พระจักรพรรดิหฺวังไถจี๋แห่งราชวงศ์ชิงให้สร้างอนุสรณ์สถานรำลึกชัยชนะของแมนจูเหนือโชซ็อน เรียกว่า อนุสรณ์ซัมจ็อนโด (เกาหลี: 삼전도비 三田渡碑) และให้พระเจ้าอินโจแห่งโชซ็อนคำนับห้าครั้งและเอาพระเศียรโขกกับพื้นสามครั้งให้แก่จักรพรรดิหฺวังไถจี๋
เพื่อเป็นการแสดงการสวามิภักดิ์ต่อแมนจู สงครามครั้งนี้ทำให้อาณาจักรโชซ็อนเปลี่ยนจากการเป็นประเทศราชของราชวงศ์หมิงกลายมาเป็นประเทศของราชวงศ์ชิง
ในรัชสมัยของพระเจ้าฮย็อนจงเกิดความขัดแย้งเรื่องการไว้ทุกข์ (เกาหลี: 예송논쟁, 禮訟論爭) ของพระอัยยิกาชาอี (เกาหลี: 자의대비, 慈懿大妃) ทำให้ฝ่ายตะวันตกซึ่งมีซง ชี-ย็อล (เกาหลี: 송시열, 宋時烈) เป็นผู้นำ และฝ่ายใต้ซึ่งมีผู้นำคือ ฮอ มก (เกาหลี: 허목, 許穆) ผลัดกันขึ้นมามีอำนาจ ในค.ศ. 1680
ฝ่ายใต้ถูกทำลายอำนาจทำให้ ฮอ มก เสียชีวิต ในค.ศ. 1689 ขุนนางฝ่ายใต้เสนอให้แต่งตั้งพระโอรสที่เกิดแต่พระสนมชังฮีบิน (เกาหลี: 희빈장씨, 禧嬪張氏) เป็นรัชทายาทในขณะที่ฝ่ายตะวันตกคัดค้านทำให้ฝ่ายตะวันตกถูกลงโทษซง ชี-ย็อล ผู้นำฝ่ายตะวันตกถูกประหารชีวิต
ต่อมาค.ศ. 1701 พระเจ้าซุกจงทรงค้นพบว่าพระสนมชังฮีบินทำไสยศาสตร์แก่พระมเหสีอินฮย็อน (เกาหลี: 인현왕후, 仁顯王后) จนสิ้นพระชนม์ ทำให้ขุนนางฝ่ายใต้ถูกลงโทษอีกครั้ง ฝ่ายตะวันตกกลับขึ้นมามีอำนาจอย่างถาวร
ในช่วงปลายรัชสมัยของพระเจ้าซุกจงเกิดความขัดแย้งระหว่างซง ชี-ย็อลกับศิษย์ ทำให้ฝ่ายตะวันตกแบ่งเป็นสองฝ่ายได้แก่
- ฝ่ายโนรน (เกาหลี: 노론, 老論) กลุ่มขุนนางดั้งเดิม ให้การสนับสนุนซง ชี-ย็อล และเจ้าชายย็อนอิง (เกาหลี: 연잉군, 延礽君)
- ฝ่ายโซรน (เกาหลี: 소론, 少論) กลุ่มขุนนางรุ่นใหม่ ต่อต้านซง ชี-ย็อล และให้การสนับสนุนพระโอรสของพระสนมชังฮีบิน
พระโอรสของพระสนมชังฮีบินขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าคย็องจงในค.ศ. 1720 ฝ่ายโซรนขึ้นมามีอำนาจ แต่เนื่องจากพระเจ้าคย็องจงประชวร ขุนนางฝ่ายโนรนจึงให้มีการแต่งตั้งเจ้าชายย็อนอิงเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ขุนนางฝ่ายโซรนกล่าวหาฝ่ายโนรนว่าเป็นกบฏต้องการยึดราชสมบัติให้เจ้าชายย็อนอิง
ขุนนางฝ่ายโนรนจึงถูกกวาดล้างลงโทษอย่างมากในค.ศ. 1721 เมื่อพระเจ้าคย็องจงสวรรคตในค.ศ. 1724 เจ้าชายย็อนอิงครองราชสมบัติต่อมาเป็นพระเจ้าย็องโจ ทำให้ขุนนางฝ่ายโซรนเสียอำนาจและฝ่ายโนรนขึ้นมามีอำนาจแทน
โชซ็อน ยุคฝ่ายตะวันตก เรืองอำนาจ พระเจ้าย็องโจและพระเจ้าช็องโจ
พระเจ้าย็องโจทรงดำเนินนโยบายทังพย็อง (เกาหลี: 탕평책, 蕩平策) หรือนโยบายเพื่อความสมานฉันท์เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ พระเจ้าย็องโจทรงให้ขุนนางทั้งฝ่ายโนรนและโซรนมีส่วนร่วมในการปกครองอย่างเท่าเทียม รัชสมัยของพระเจ้าย็องโจเป็นรัชสมัยที่ยาวนานและสงขสุข
พระเจ้าย็องโจได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ผู้ห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ อย่างไรก็ตามในปลายรัชสมัยพระเจ้าย็องโจเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกครั้ง เมื่อพระโอรสของพระเจ้าย็องโจคือเจ้าชายรัชทายาทซาโด (เกาหลี: 사도세자, 思悼世子) มีพระสติวิปลาสนำไปสู่การสำเร็จโทษประหารชีวิตเจ้าชายซาโดในค.ศ. 1762 ทำให้ขุนนางแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอีกครั้งได้แก่
พย็อกปา (เกาหลี: 벽파, 僻派) ฝ่ายซึ่งเห็นด้วยกับการสำเร็จโทษเจ้าชายซาโด
ชิปา (เกาหลี: 시파, 時派) ฝ่ายซึ่งไม่เห็นด้วยกับการสำเร็จโทษเจ้าชายซาโด
ในค.ศ. 1775 กลุ่มพย็อกปาคัดค้านการแต่งตั้งพระนัดดารัชทายาทลีซันซึ่งเป็นพระโอรสของเจ้าชายซาโดให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน เมื่อเจ้าชายลีซันขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าช็องโจในค.ศ. 1776 จึงทำการลงโทษขุนนางฝ่ายพย็อกปาไปจำนวนมากและนำขุนนางชิปาขึ้นมามีอำนาจ
พระเจ้าช็องโจทรงสานต่อนโยบายทังพย็องเพื่อความสมานฉันท์ของพระเจ้าย็องโจพระอัยกา พระเจ้าช็องโจใช้อุบายทางการเมืองเพื่อคานอำนาจระหว่างขุนนางกลุ่มโนรนและโซรน และฟื้นฟูขุนนางฝ่ายใต้ให้ขึ้นมามีอำนาจอีกครั้งภายใต้การนำของแช เจ-กง (เกาหลี: 채제공, 蔡濟恭) ในรัชสมัยของพระเจ้าช็องโจเป็นยุคแห่งการเรียนรู้ มีการสร้างคยูจังกัก (เกาหลี: 규장각, 奎章閣) หรือหอสมุดหลวงในค.ศ. 1776
นำไปสู่การเกิดชิลฮัก (เกาหลี: 실학, 實學) หรือ “ศาสตร์ที่แท้จริง” ซึ่งเป็นศาสตร์ใหม่นอกเหนือไปจากการศึกษาลัทธิขงจื๊อแบบเดิม หนึ่งในการศึกษาชิลฮักประกอบด้วยซอฮัก (เกาหลี: 서학, 西學) ซึ่งหมายถึงการศึกษาวิทยาการตะวันตก เจริญรุ่งเรืองขึ้นในโชซ็อน โดยเฉพาะในกลุ่มนักปราชญ์ฝ่ายใต้ซึ่งเป็นกลุ่มที่ศึกษาวิทยาการตะวันตก และมีขุนนางฝ่ายใต้บางส่วนหันไปนับถือศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิก
ขุนนางฝ่ายใต้คนสำคัญคือช็อง ยัก-ย็อง (เกาหลี: 정약용, 丁若鏞) ผู้ศึกษาศาสตร์วิทยาการจนรอบรู้ นอกจากนี้พระเจ้าช็องโจยังทรงปฏิรูปสังคมโชซ็อน ได้แก่การยกสถานะของบุตรภรรยารองให้มีฐานะเท่าเทียมกับบุตรที่เกิดกับภรรยาเอก พระเจ้าช็องจงทรงสร้างป้อมปราการเมืองซูว็อนหรือป้อมฮวาซ็องขึ้นในค.ศ. 1794 และทรงวางแผนจะย้ายราชธานีของโชซ็อนไปยังซูว็อน แต่เมื่อพระเจ้าช็องโจสวรรคตไปเสียก่อนในค.ศ. 1800 ทำให้แผนการต้องหยุดไป

ยุคการปกครองของราชินิกุลและการปราบปรามชาวคริสเตียน
เมื่อพระเจ้าช็องโจสวรรคตในค.ศ. 1800 พระโอรสคือพระเจ้าซุนโจยังทรงพระเยาว์พระปัยยิกาตระกูลคิมจึงขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระปัยยิกาตระกูลคิมให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมโนรน-พย็อกปาจึง เกิดการกวาดล้างขุนนางฝ่ายใต้ทำให้ขุนนางฝ่ายใต้สูญสิ้นอำนาจไป
ในปีค.ศ. 1801 ขุนนางฝ่ายใต้ชื่อว่าฮวัง ซาย็อง (เกาหลี: 황사영, 黃嗣永) ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์เขียนจดหมายถึงมิชชันนารีฝรั่งเศสที่กรุงปักกิ่งร้องขอให้จีนราชวงศ์ชิงยกทัพเข้าบุกยึดอาณาจักรโชซ็อนเพื่อปลดแอกชาวคริสเตียนในโชซ็อน จดหมายฉบับนี้ถูกทางการยึดได้เมื่อราชสำนักโชซ็อนและพระปัยยิกาตระกูลคิมทรงทราบ
จึงเกิดปราบปรามและสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์อย่างรุนแรงเรียกว่า การปราบปรามชาวคริสเตียนปีชินยู (เกาหลี: 신유박해, 辛酉迫害) เหตุการณ์นี้ทำให้ซอฮักหรือการศึกษาความรู้วิทยาการตะวันตกและศาสนาคริสต์กลายเป็นสิ่งต้องห้ามและผิดกฎหมายของโชซ็อน เมื่อพระปัยยิกาคิมสิ้นพระชนม์ในค.ศ. 1805 อำนาจของฝ่ายโนรน-พย็อกปาจึงสิ้นสุดลง
ในรัชสมัยของพระเจ้าซุนโจอำนาจการปกครองอยู่ที่พระสัสสุระคิม โจ-ซุน (เกาหลี: 김조순, 金祖淳) ซึ่งเป็นบิดาของพระมเหสีซุนว็อนจากตระกูลคิมแห่งอันดง (เกาหลี: 안동김씨, 安東金氏) ซึ่งเป็นพระมเหสีของพระเจ้าซุนโจ ตระกูลคิมแห่งอันดงจึงขึ้นมามีอำนาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคการปกครองของราชินิกุล (เกาหลี: 세도정치, 勢道政治)
เมื่อพระเจ้าซุนโจสวรรคตในค.ศ. 1834 พระเจ้าฮ็อนจงพระนัดดาของพระเจ้าซุนโจได้ราชสมบัติต่อมา เนื่องจากพระเจ้าฮ็อนจงยังทรงพระเยาว์พระอัยยิกาซุนว็อนจากตระกูลคิมแห่งอันดงจึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระพันปีชินจ็องจากตระกูลโชแห่งพุงยัง (เกาหลี: 풍양조씨, 豊壤趙氏)
ซึ่งเป็นพระชนนีของพระเจ้าฮ็อนจงเริ่มสะสมอำนาจขึ้นมาแข่งขันกับพระอัยยิกาคิม โช มัน-ย็อง (เกาหลี: 조만영, 趙萬永) ซึ่งเป็นบิดาของพระพันปีชินจ็อง ผลักดันให้มีการปราบปรามชาวคริสเตียนปีคิแฮ (เกาหลี: 기해박해, 己亥迫害) ในค.ศ. 1839 ตระกูลโชแห่งพุงยังกล่าวหาตระกูลคิมว่าให้การสนับสนุนแก่ศาสนาคริสต์
ทำให้ตระกูลคิมสูญเสียอำนาจและตระกูลโชแขึ้นมามีอำนาจแทน เมื่อพระเจ้าฮ็อนจงสวรรคโดยปราศจากพระโอรสในค.ศ. 1849 พระอัยยิกาตระกูลคิมจึงอัญเชิญพระเจ้าช็อลจงให้มาขึ้นครองราชสมบัติโดยมีพระอัยยิกาคิมเป็นผู้สำเร็จราชการ ทำให้ตระกูลคิมกลับมามีอำนาจอีกครั้ง เมื่อพระอัยยิกาตระกูลคิมสิ้นพระชนม์ในค.ศ. 1857 ทำให้อำนาจของตระกูลคิมสิ้นสุดลงอย่างถาวร
เมื่อพระเจ้าช็อลจงสวรรคตในค.ศ. 1863 โดยไม่มีรัชทายาท ชายสามัญชนผู้หนึ่งชื่อว่าอี ฮา-อึง (เกาหลี: 이하응 李昰應) ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าอินโจ เข้าเฝ้าพระพันปีชินจ็องตระกูลโชทูลเสนอให้ยกบุตรชายของตนเองชื่อว่าอี มย็อง-บก (เกาหลี: 이명복, 李命福) ขึ้นเป็นกษัตริย์หุ่นเชิดโดยมีพระพันปีตระกูลโชเป็นผู้สำเร็จราชการ
พระพันปีตระกูลโชทรงยินยอมตั้งนายอี มย็อง-บก ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าโคจง และนายอี ฮา-อึง ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าชายแทว็อน ฮึงซ็อน (เกาหลี: 흥선대원군, 興宣大院君) ปรากฏว่าเมื่อพระเจ้าโคจงครองราชสมบัติฝ่ายตระกูลโชสูญเสียอำนาจไปยุคการปกครองของราชินิกุลจึงสิ้นสุดลง เจ้าชายแทว็อน ฮึงซ็อน ขึ้นมามีอำนาจแทนในฐานะพระชนกาธิราชของพระเจ้าโคจง
วันที่ในข่าวนี้ 1 มกราคม 1627 วันที่ประมาณการ